วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ประธานคนใหม่ของบริษัท
ประธานคนใหม่ของบริษัท............ประเทศไทย
เพิ่งมารับงานฟื้นฟูกิจการที่ตกต่ำของบริษัทเป็นวันแรก
เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก
ซึ่งก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ใครทำงานไม่เต็มที่จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด
หลังการประชุม
เขาออกเดินตรวจตราบริษัท พร้อมกับผู้จัดการแผนกอีก 6-7คน
ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคนอื่นทำงานอย่าง
สบายใจ
เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันทีแล้วถาม
"เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่?"
"เจ็ดพันครับ" ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำ
เขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันที แล้วตะโกนลั่น...
"นี่เงินเดือนๆ สุดท้ายของคุณ
แล้วเชิญคุณออกไปเลยไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก"
ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที
ในขณะที่เขาหันหลังกลับมาหา พนักงานบริษัทที่ตะลึงกันถ้วนหน้า
แล้วตะโกนถาม...
"ใครตอบผมได้บ้าง ว่าไอ้หนุ่มนั่นทำอะไร เมื่อกี้นี้?"
ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาที
ก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา
..
..
..
..
"เขามาส่งพิซซาครับ!!!"
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ผีช่องแอร์
เมื่อวานนี้ได้ดูหนังทางช่องสามที่เขามาฉายเป็นภาพยนต์เรื่องยามรอบดึกตอนประมาณ 5 ทุ่มครับ...วันนี้เสนอเรื่อง...
ผีช่องแอร์
ซึ่งแน่นอนครับเป็นเรื่องของผีที่สิงห์อยู่ในช่องแอร์ ...เรื่องคร่าวๆ ก็มีอยู่ว่า...
.....ผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆาตกรรม ภายในห้องพักแล้วถูกตัดหัวขาดออก...แล้วเอาไปผูกติดไว้กับช่องแอร์ของห้อง...กลายเป็นฆาตกรรมสยองครับ...
เมื่อก่อนผมเคยได้ยินนักวิจารณ์บางคนด่าหนังเรื่อง คนไฟบิน ประมาณว่าเป็นหนังสิ้นคิด..แต่ผมว่าคนไฟบิน ดีกว่าเรื่องนี้เยอะเลย...เรื่องนี้พอจะมีข้อดีอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องของภาพ แต่อย่างอื่นมันดูไม่เป็นเหตุเป็นผลไม่มีที่มาที่ไป เลื่อนลอยไร้ plot เรื่อง เอาเป็นว่ากูจะเป็นเรื่องผีเท่านั้นแหละ เอะอะกูก็จะเป็นผีซาดิสต์ ผีฆ่าโหด ผีบ้าฆ่า ผีฆ่าอย่างเดียว ผีไม่มีรู้เรื่องรู้ราว...กูตาย..กูจะฆ่า..มึงต้องตาย..ใครจะทำไม กูมาหลอกกูมาฆ่า...แต่กูไม่บอกว่าต้องการอะไร...ไม่มีเหตุผล...ไม่สนใจ...กูเป็นผี...กูจะฆ่าโว้ย...
ดูแล้วเคียดแค้นจริงๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะไประบายกับใคร...กับคนเขียนบท, ผู้กำกับ, หรือผู้สร้างดีครับ.....
...โอ้ย!! ตูละกลุ้ม...
ภาพจาก พันทิพย์คาเฟ่ ผีช่องแอร์
(http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/thesisters/sisters.html)
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
what going on..
ID 4.
Be hide Enemy Line.
The sea of the sun. (เขียนผิดขออภัย..ไม่แน่ใจจริงๆ)
Butter Fly Effect"
สงคราอ่าวเปอร์เซีย..
อิหร่าน...
เกาหลีเหนือ...
...การบังคับใช้สิทธิ์ เกี่ยวกับยารักษาโรคเอดส์....
...เทพหรือมาร..ใครบอกที..
ปล.สงสัยมาก.....
วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2550
หม้อวิเศษ..จงบอกข้าเถิด
เป็นพิธีกรณ์ นอนดูไปก็ขำๆ ไป ในการนำเสนอและก็เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้หม้อนี้น่าใช้มากขึ้นเป็นกอง เรื่องของเรื่องก็คือว่า
ชื่อผลิตภัณฑ์:
หม้อดินสำหรับตุ๋นซุป
ลักษณะภายนอก:
เป็นหม้อลักษณะหม้อดินบ้านเราที่เป็นทรงกระบอก ได้รับการเผาในเตาความร้อนสูง ซึ่งคงสูงซักประมาณ 30 ซม. ได้ ส่วนขนาดเส้นผ่านหน้ากลาง (ศูนย์กลาง) ก็ประมาณขนาดถ้วยเรานะครับ (ถ้วยใหญ่ใส่แกงนะไม่ใช้ขนมหวาน)
สิ่งที่ซ่อนอยู่:
ส่วนที่เป็นหม้อนี่เค้าว่าทำมาจากดินสีม่วงซึ่งเป็นดินที่มีเฉพาะในมณฑลอะไรไม่รู้ในจีนเท่านั้น และเป็นดินชนิดเดียวกันกับที่ใช้เผาทำหม้อดินสำหรับต้มซุปให้กับฮ่องเต้... นั่นแน่ชักสนุกแล้วใช่ไหมครับท่าน...
ประโยชน์ใช้สอย:
สำหรับต้มซุปที่อะร่อยที่สุดในจักรวาลด้วยราคาที่ แพงที่สุดในจักรวาลเช่นกันครับ...
คุณสมบัติพิเศษ:
รู้สึกว่าเป็นเตาที่สามารถต้มได้โดยที่เราไม่ต้องใช้เตาถ่านครับ ไม่ต้องจุดไฟเอง ... ก็เค้ามีปลั๊กไฟมาให้แล้วน่ะ ติดตั้งมาเสร็จเลย โอ้โฮ้ เวอร์คๆๆ
จุดเด่นอีกประการที่เน้นมากๆ เลยก็คือ หม้อนี้เค้าทำมาจากดินสีม่วงที่มีคุณภาพดีมาก (อาจดีกว่าดินด่านเกวียนของเรานะครับ..อันนี้ผมเดาเอาเอง)
เนื้อหาการนำเสนอ:
เค้าก็มีสัมภาษณ์คนที่มีหม้อนี้ (ไว้โฆษณา) ครับ
คนแรกเป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 อยู่ในชุดหนุ่ม Office มาดแมน ก็พูดว่า "ตั้งแต่ผมมีหม้อนี้นะครับผมมีสุขภาพดีขึ้นมากเลยครับ เนื่องจากมีซุปร้อนๆกินเป็นประจำ"
@#$@%# ฮ่วย ไม่มีไอ้หม้อนี่ที่บ้านคงทานแต่น้ำเย็นมั้งครับ เลยไม่ค่อยสบาย 5555
อีกคนซึ่งเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 40 อยู่ในชุดประมาณว่าแม่บ้านแบบอาซ้อ บอกว่า "ตอนนี้สบายมากเลยค่ะ เพราะลูกเค้าต้มซุปให้ทานเป็นประจำเลยตั้งแต่ได้หม้อตุ๋นนี้มา"
เอ!! แสดงว่าถ้าไม่มีไอ้หม้อนี้แล้วลูกเค้าคงทอดทิ้งให้ไปอยู่บ้านบางแคร์มั้งครับท่าน....สงสัยมากๆในความกตัญญู?
ส่วนคนนี้ถ้าทางเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เพราะมาให้ข้อมูลสนับสนุนครับ มีคำถามหนึ่งคุณดวงตาเค้าถามว่า "เอหม้อนี่ถ้าเราเทียบกับการต้มนี่จะเป็นยังไงค่ะ" ท่านคนนั้นก็ตอบว่า
"หม้อตุ๋นของเรานี่ทำจากดินอย่างดีทีใช้สำหรับการตุ๋นโดยเฉพาะ และแม้แต่จักรพรรดิ์จีนก็ยังใช้กันสืบทอดมายาวนาน แล้วเมื่อเทียบกับการต้มแล้ว..."
เริ่มเข้าเรื่องแล้วครับท่าน
"การต้มนั้นก็ต้มประเดี๋ยวประด๋าว ..คงไม่สามารถเทียบกับการตุ๋นของเราได้หรอกครับ การตุ๋นนั้นจะทำให้ซุปที่ได้นั้นมีรสชาติกลมกล่อมน่าทานกว่าแน่นอนครับ"
เค้าตอบมาก็เลยงงนะครับ...
คือถ้าต้มแป๊บเดียวซุปไม่เข้มข้น....ก็ทำไมไม่ต้มนานๆ ให้มันเปี่อยๆ ไปเลยละครับท่าน แล้วไอ้ตุ๋นกับต้มเนี่ยมันช่วยให้ชีวิตเราต่างกันยังไง
ครับช่วยบอกทีครับ.. เช่นว่า วิตามินจะยังคงอยู่ไหม หรือถ้าต้มเนี่ยน้ำที่ได้มันจะขุ่นแล้วเนื้อออกเละๆ ถ้าตุ๋นจะได้น้ำที่กลมกล่อมเนื้อเปื่อย
ไม่เละ เออ อย่างนั้นก็ว่ากันไป..แหมนี่เล่น ต้มประเดี๋ยวประด๋าว คงสู้ตุ๋นไม่ได้ โห!! ทำไม่ไม่บอกมาเลยละว่า
..ศักสิทธิ์ เป็นสิริมงคลกับคนที่มีไว้ครอบครอง...
แล้วไอ้ดินสีม่วงนี่มันดียังไงอ่ะ ไม่มีความรู้จริงๆ ครับใครรู้เรื่องดินนี้บอกทีนะจะได้เก็บเป็นข้อมูล แล้วต๋นกับต้ม นี่มันคนละ Concept นี่ไหงไม่เทียบให้มันได้เห็นภาพหน่อย หรือไม่ก็ไปเทียบกับหม้อตุ๋นดินทั่วๆ ไปที่เราใช้กัน จะได้รู้ซะทีว่ามันดียังไง... (ดินสีม่วงนี่เผามาแล้วได้
สีแดงเหมือนอิฐแดงๆ เหมือนกับหม้อเดิมของเรารึเปล่า...ข้องใจ!) ...
แต่เดี๋ยวก่อน... ตอนนี้เวลานี้ (ตีอะไรว่ะ..) 5,900 เราไม่ขาย 4,900 เราก็ไม่ขาย, ...
ตกลง! มันจะขายเท่าไหร่???
พระเจ้าจ๊อด! มันยอดมาก...555
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2550
เมื่อธนาคารโลกสารภาพผิด 10 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
อภิชาต สถิตนิรามัย
เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารโลก (WB) ออกเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะต่อผู้สนใจเรื่องวิกฤตและการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ มาฉบับหนึ่ง (Report No.35051) เอกสารชิ้นนี้เป็นเอกสารที่ต้องการประเมินว่าโครงการเงินกู้ที่ให้แก่ไทยเพื่อแก้ไขวิกฤต ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว มากน้อยเพียงใด ในประเด็นใดบ้าง เมื่อทาบวัดกับวัตถุประสงค์ของโครงการเงินกู้สามโครงการ ในวงเงิน 1350 ล้านเหรียญอเมริกา โดยผ่านการประเมินของกลุ่มผู้ประเมินอิสระ (independent evaluation group)
วัตถุประสงค์ของโครงการทั้งสามมีอยู่ด้วยกัน 8 ประการ แต่ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะประเด็นที่ผู้เขียนสนใจเท่านั้น คือ
หนึ่ง การสร้างเสถียรภาพด้านการคลังและเศรษฐกิจมหภาคให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังการลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค.2540
เอกสารนี้เห็นว่าการเลือกใช้นโยบายการคลังแบบหดตัว โดยกำหนดให้ไทยต้องเกินดุลการคลัง 1% ของ GDP ในปีแรก ท่ามกลางวิกฤตขนานใหญ่ ซึ่งมี IMF เป็นผู้กำหนดและ WB เห็นชอบด้วยนั้น เป็นความผิดพลาดที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย ถดถอยมากกว่าที่ควร และฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ประสบวิกฤตด้วยกันแล้ว ศก.ไทยตกต่ำรุนแรงกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าทุกประเทศ ยกเว้นแต่เมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย (ซึ่งประสบวิกฤตทางการเมืองขนานใหญ่ ควบคู่ไปด้วย)
ในแง่นี้แล้ว เอกสารชิ้นนี้จึงเป็นการยอมรับความเห็นของผู้วิจารณ์ องค์กรระหว่างประเทศทั้งสองในขณะนั้น ดังเช่นความเห็นของ Stiglitz ผู้มีตำแหน่งเป็น chief economist ของ WB ในขณะนั้น และเป็นผู้แหวกประเพณีของการไม่วิจารณ์กันเองระหว่างองค์กรโลกบาลทั้งสอง ซึ่งทำให้ IMF เสียเครดิตไปมาก
เมื่อ ศก.ตกต่ำรุนแรงยิ่งขึ้น และฟื้นตัวช้าขึ้นแล้ว จากการให้ยาผิดขนานนี้ ทำให้กระบวนการปฏิรูปทั้งหมด สูญเสียเครดิตในสายตาประชาชน ซึ่งส่งผลให้กระบวนการปฏิรูปด้านโครงสร้างมีความเป็นไปได้ทางการเมืองน้อยลง และประสบความสำเร็จยากขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น การแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจ 11 ฉบับ ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นกฎหมาย “ขายชาติ” ไปเสียทั้งหมด ทั้งๆ ที่หลายฉบับมีความจำเป็นต่อการปฏิรูป เช่น กฎหมายล้มละลาย
สอง การออกแบบมาตรการแก้ปัญหาสถาบันการเงินอ่อนแอ โดยการสั่งปิด 56 บ.ไฟแนนซ์ และไม่มีแผนการรองรับที่ดีพอ ก่อให้เกิดผลกระทบและต้นทุนโดยไม่จำเป็นแก่ ศก.ในหลายแง่ คือ
ก) การไม่แยกหนี้เสียและหนี้ดีของบริษัทเงินทุน (บง.) ออกจากกัน ในขณะที่อนาคตของ บง.เหล่านั้นถูกแขวนอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ลูกหนี้ดีไม่มีผู้ดูแลและขาดเงินหมุนเวียนในธุรกิจ จนสุดท้ายต้องการเป็นหนี้เสียไปโดยไม่จำเป็น ในขณะที่ลูกหนี้เหล่านี้ก็ไม่สามารถไปกู้เงินจากสถาบันการเงินอื่นได้ เพราะหลักประกันเงินกู้ของเขาถูกแช่แข็งอยู่กับ บง.ที่ถูกสั่งระงับกิจการ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะวิกฤตโดยไม่จำเป็น
ข) จากข้อ ก ส่งผลต่อเนื่องให้ลูกหนี้ส่วนหนึ่งทำตัวเป็น strategic NPLs คือการถือคาถา ไม่หนีหนี้ แต่ก็ไม่จ่ายหนี้ด้วย โดยเฉพาะในสถานการณ์ credit crunch ที่หาเงินหมุนเวียนได้ยาก เพราะเมื่อลูกหนี้จ่ายหนี้แล้ว สถาบันการเงิน ไม่ปล่อยกู้รอบใหม่ ตนย่อมขาดเงินหมุนเวียน ทำให้มีผลเสียต่อ credit culture ในระยะยาว
ค) การสั่งปิดสถาบันการเงิน พร้อมกันจำนวนมาก ซึ่งมีสินทรัพย์รวมกันคิดเป็น 15% ของ GDP ในขณะที่ทางการไม่มีกำลังคน ประสบการณ์ หรือความสามารถในการจัดการ “ทำศพหมู่” จำนวนเท่านี้มาก่อน (ซึ่งต่อให้เป็นประเทศตะวันตก ที่มีระบบกำกับสถาบันการเงินที่เข้มแข็งกว่ามาก หากต้องจัดการกับปัญหาในระดับนี้แล้ว ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจะทำได้เพียงใด) ความยากลำบากในการจัดการ รวมทั้งการไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจนว่าจะ “ทำศพ” หรือไม่ อย่างไร ทำให้ ศก.ไม่ฟื้นตัวในอัตราที่เร็วกว่าที่เกิดขึ้นจริง เพราะทรัพย์สินจำนวนมากของระบบถูกล็อกอยู่กับ บง.ที่ถูกสั่งปิด มาตรการที่ควรทำมากกว่าการสั่งปิด ก็คือการเข้าไปแทรกแซงแทนการสั่งปิดสถาบันที่อ่อนแอ แล้วแยกหนี้ดีออกมาให้องค์กรหนึ่งดูแล (จัดตั้ง bridge bank) ในขณะที่ถ่ายหนี้เสียไปให้องค์กร เช่น ปรส.ขายทิ้ง ก็จะไม่สร้างปัญหาในข้อ ก ถึงข้อ ค
สาม การปรับโครงสร้างหนี้ของภาคธุรกิจจริง (real sector corporate restructuring) ด้านโครงสร้างการเงินเพื่อแก้ปัญหา NPL นั้น การปรับโครงสร้างนี้ก็มีคุณภาพต่ำ เพราะจำนวนมากใช้วิธีการยืดเวลาการชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย ฯลฯ แต่มีการลดมูลหนี้น้อย ทำให้เกิด NPL ย้อนกลับจำนวนมากในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถาบันการเงิน ไม่ต้องการรับรู้ผลการขาดทุน (realized losses) อย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลัวการตั้งสำรอง ซึ่งจะมีผลให้ธนาคารต้องเพิ่มทุนและผู้ถือหุ้นเดิมต้องลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของลง (และเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเข้าร่วมในโครงการเติมทุนให้ธนาคาร ตามแผน 14 สิงหาคม ของรัฐบาลชวน) ธนาคารจึงใช้วิธีปรับโครงสร้างลูกหนี้แบบ “หลอกๆ” (cosmetic restructuring) ข้างต้น โดยหวังว่าเมื่อ ศก.ฟื้นตัวแล้วฐานะของลูกหนี้จะดีขึ้นเอง
ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภาคสมัครใจภายใต้การดูแลของธนาคารชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการนอกศาล ส่วนกระบวนการจัดการหนี้ภายใต้กฎหมายล้มละลายนั้นยิ่งประสบความยากลำบากมากกว่า เนื่องจากชุดกฎหมายที่กำกับความสัมพันธ์ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ของไทยนั้นล้าหลังมาก และเข้าข้างลูกหนี้ เช่น กฎหมายล้มละลายไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการปรับโครงสร้าง (rehabitation) ในขณะที่กระบวนการบังคับหลักประกัน ก็กินเวลาเป็น 10 ปี เป็นต้น ดังนั้นองค์กรโลกบาลทั้งสองจึงบรรจุการแก้กฎหมายชุดนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขเงินกู้ แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวุฒิสมาชิก NPLs ในยุคนั้น จนเมื่อแก้ไขแล้ว กฎหมายล้มละลายก็อ่อนลงกว่าที่ตั้งใจไว้มาก เช่น บทบัญญัติที่กำหนดให้บุคคลล้มละลาย ถูกปลดออกจากสภาพล้มละลายโดยอัตโนมัติภายใน 3 ปี ซึ่งหมายความด้วยว่าหนี้สินทั้งหมดเป็นอันยกเลิกต่อกัน ทำให้เจ้าหนี้มีเวลาเพียงแค่ 3 ปีในการติดตามทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย ในขณะที่การฟ้องหนี้ในกฎหมายแพ่งนั้น เจ้าหนี้มีเวลาในการตามทรัพย์เป็นเวลาถึง 10 ปี ด้วยกฎหมายที่อ่อนแอนี้เองทำให้ลูกหนี้ หลบเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการในการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้กระบวนการปรับโครงสร้างทั้งหมดช้าลง ทำให้การขยายตัวของสินเชื่อทำไม่ได้ ดังนั้นภาคเศรษฐกิจจริงจึงฟื้นตัวช้าตามไปด้วย
ในแง่หนึ่ง การเสนอให้ไทยแก้กฎหมายล้มละลายตามแบบกฎหมาย chapter 11 ของอเมริกา ก็เป็นความผิดพลาดในการออกแบบมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ ขององค์กรโลกบาลเองด้วย เพราะการออกแบบ ไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนแอของระบบกฎหมายชุดนี้อย่างพอเพียง ดังนั้น เมื่อต้องผลักดันการแก้กฎหมายจำนวนมาก ในเวลาอันสั้น จึงก่อให้เกิดแรงต่อต้านทางการเมืองมากไปด้วย การแก้ปัญหา NPLs อาจจะรวดเร็วขึ้นกว่าที่เกิดจริง หากเน้นไปที่กระบวนการแก้ปัญหานอกระบบศาลเสียตั้งแต่ต้น
นอกจากการปรับโครงสร้างทางการเงินข้างต้นที่ช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ยังปรากฏด้วยว่าการปรับองค์กร (operational restructuring) เกิดขึ้นน้อยมาก ตัวอย่างเช่น การกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ ก็ยังคงไม่แตกต่างไปจากก่อนวิกฤต มากกว่าครึ่งของภาคธุรกิจยังคงตกอยู่ภายในกำมือของคนเพียง 15 ตระกูลเช่นเดิม หากเชื่อว่าการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของนี้เป็นสาเหตุสำคัญหนึ่ง ที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถต้านทาน ต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงลบได้ (economic shock) เนื่องจากโครงสร้างที่กระจุกตัวเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจได้รับสินเชื่อจากธนาคารมากเกินสมควร ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจไทยก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อ shock ต่อไปเช่นเดิม
การกระจุกตัวที่สูงมีนัยว่า เนื่องจากธุรกิจแบบครอบครัวต้องการรักษาระดับความเป็นเจ้าของบริษัทที่สูง ดังนั้นแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการจึงมาจากการก่อหนี้ต่อสถาบันการเงิน แทนที่จะระดมทุนจากคนภายนอกตระกูล ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนสูง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น หรือเมื่อหนี้ที่กู้เป็นเงินตราต่างประเทศโดยไม่ประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แล้วเงินบาทลดค่าลง บริษัทเหล่านี้ก็จะล้มง่าย
ความไม่สำเร็จในสามประการข้างต้นจึงเป็นการอธิบายว่า เหตุใดเศรษฐกิจไทยจึงฟื้นตัวช้ากว่าประเทศที่ประสบวิกฤตในปี 2540 และอาจตีความต่อได้ว่าระบบเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่แม้ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชน ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2503-2529 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเศรษฐกิจฟองสบู่เสียอีก ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากการขยายตัวของการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนลงมากหลังปี 2540 และการขยายตัวของการค้าโลกที่สูง
แม้ว่า WB จะสารภาพผิดแล้วก็ตาม แต่นี้มิได้หมายความว่าความผิดทั้งหมดเป็นขององค์กรนี้ โดยที่เราไม่ผิดเลย อย่างน้อยการแก้ไขกฎหมายล้มละลายให้อ่อนกว่าที่ควรจะเป็นจากแรงผลักดันของ ฝ่ายลูกหนี้ และจนกระทั่งปัจจุบันร่างกฎหมายที่สำคัญต่อระบบการเงินสามฉบับ คือ พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ร.บ.ประกันเงินฝาก ก็ยังไม่ประกาศใช้ ทั้งๆ ที่เริ่มร่างมาสิบปีแล้ว ก็เป็นตัวอย่างของความล้มเหลวของการปฏิรูปที่เราโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง
สำหรับ WB อย่างน้อยก็มีกระบวนการตรวจสอบตัวเอง แล้วเราล่ะ
ที่มา OnOpen Online
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550
ททท.ร้องลั่น“ท้อแต่ไม่ถอย” เหนื่อยอีกยกปลุกตลาดโลว์ซีซั่น
ททท.ท้อแต่ไม่ถอย เร่งสปีดกระตุ้นนักท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น ชู 4 ตลาดเป้าหมาย ตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พร้อมรุกตลาดใหม่ แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ยอมรับตลาดสิงคโปร์ และมาเลเซียถดถอย มั่นใจโลว์ซีซั่นปีนี้ต้องดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 ล้านคน ถึงสิ้นปีเข้าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ตลาดในประเทศ เล็งออกโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ชวนคนไทยท่องเที่ยวอย่างรู้คุณค่า
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้ (เม.ย.-ก.ย.) ททท. ได้วางแผนทำตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ และ ได้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ถึงสิ้นปีตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ ตลาดต่างประเทศ 14.8 ล้านคน รายได้ 5.47 แสนล้านบาท และ ตลาดคนไทย 82 ล้านคนครั้ง รายได้ 3.8 แสนล้านบาท
โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศ จะเป็นแผนต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งการกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงโลว์ซีซั่น ททท. ได้ทำต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี และปีนี้จะเป็นปีที่ 3 โดยเราตั้งความหวังว่าช่วงโลว์ซีซั่นจะต้องมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ล้านคนตลอดช่วง 6 เดือน ซึ่งแผนงานคือจะร่วมกับบริษัททัวร์นำเที่ยวในต่างประเทศ สมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) และ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) จัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งตลาดเป้าหมายในช่วงฤดูนี้ ได้แก่ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ นอกจากนั้นจะเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น แอฟฟริกาใต้ อินโดนีเซีย และ ฟิลลิปปินส์
“ยอมรับว่า จากเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ส่งผลกระทบให้หลายตลาดหลักของไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และ จีน เป็นต้น แต่ ททท.จะไม่ย่อท้อ เราจะหาตลาดใหม่ๆเข้ามาทดแทน เพื่อให้การทำงานของเราบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ และ เมื่อ สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ตลาดที่หายไปก็จะกลับคืนมาอีก ไทยก็จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดสิงคโปร์ ททท.ก็ไม่ได้หยุดทำตลาด ล่าสุด จับมือกับการบินไทย ไทเกอร์แอร์เวย์ และบริษัททัวร์ในสิงคโปร์อีก 10 ราย จัดแพกเกจทัวร์ไปจังหวัดอุดรธานี ซึ่งททท.จะใช้โอกาสนี้โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวอีสาน ส่วนนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ ก็ได้เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ
สำหรับตลาดตะวันออกกลาง ล่าสุด ในวันที่ 1-4 พ.ค.50 จะเดินทางไปร่วมงาน อาร์เบียนทราเวล มาร์ท(ATM) จัดที่ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต โดยมีเอกชนร่วมเดินทางไปทั้งสิ้น 68 ราย ทั้ง บริษัทนำเที่ยว โรงพยาบาล และ โรงแรม
นางพรศิริ กล่าวว่า ส่วนของตลาดในประเทศ ที่ประชุมคณะผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เห็นชอบแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดในประเทศแล้วภายใต้แนวคิด “เก็บเมืองไทยให้สวยงาม” และ มหัศจรรย์เมืองไทย ต้องไปสัมผัส” โดย ททท.จะเริ่มโฆษณาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนศกนี้เป็นต้นไป วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นตลาดคนไทยให้เดินทางท่องเที่ยวจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี สำหรับงบประมาณ ททท.จัดสรรไว้ที่ 20 ล้านบาท แบ่งเป็น 15 ล้านบาท เพื่อจัดทำสื่อโฆษณา ทั้ง ทางโทรทัศน์ ,สปอร์ตวิทยุ และ พริ้นแอท อีก 5 ล้านบาท จะใช้เพื่อการสื่อซื้อโฆษณาใหม่ๆ นอกจากนั้น จะลงโฆษณาในสื่อที่ ททท.ได้ขัดซื้อไปแล้วเมื่อตอนต้นปีด้วย รวมถึงในรายการที่ ททท.เป็นผู้สนับสนุน
“งบรวมตลาดในประเทศ ททท.ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้นราว 70-80 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งเป็นการจัดกิจกรรม อีเว้นต์ ต่าง การร่วมสนับสนุน และ การโฆษณา ซึ่งนโยบายหลักของ ททท. จากนี้ไป เน้นเรื่องการหาพันธมิตร ทั้งที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว และ ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อย่าง บัตรเครดิตเคทีซี และ วีซ่าการ์ด เป็นต้น
ผู้จัดการออนไลน์
Oasis นำแก๊งเด็กแนวคัพเวอร์ Sgt Pepper ของ Beatles
Oasis, the Killers และ Kaiser Chiefs วงดนตรีร็อคชื่อดังแห่งยุค เตรียมจะจับมือกันทริบิวผลงานเพลงจาก Sgt Pepper's Lonely Hearts Club Band อัลบั้มชื่อก้องของวง the Beatles เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีตั้งแต่ผลงานชุดนี้อุบัติขึ้นมาบนโลก และเปลี่ยนแปลงวงการดนตรีทั้งปวง ตามรายงานจาก nme.com
Sgt Pepper's Lonely Hearts Club Band อัลบั้มชุดที่ 8 ของ the Beatles ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 1 มิ.ย. 1967 ซึ่งถือเป็นผลงานที่สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ และอิทธิพลให้กับวงการเพลงอย่างมหาศาล
เนื่องในโอกาสที่อัลบั้มดังกล่าวกำลังจะมีอายุครบ 40 ปี วงดนตรีชื่อดัง นำโดยวงที่อ้างถึงอิทธิพลของวงเขามากที่สุดอย่าง Oasis จะร่วมกันคัพเวอร์บทเพลงอมตะในชุดดังกล่าวสำหรับการออกอากาศทางสถานีวิทยุ BBC2 ของอังกฤษในวันที่ 2 มิ.ย.นี้
โดยศิลปินที่ร่วมโปรเจ็คท์นี้ด้วยมีทั้ง the Killers, Kaiser Chiefs, Razorlight, เจมส์ มอร์ริสัน, the Fratellis และ Travis
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญดังกล่าวได้แก่ศิลปินนักเคลื่อนไหวตัวยงอย่าง บ็อบ เกลดอฟ แห่ง Live 8 ที่กล่าวว่าวงดนตรีทั้งหมดที่มาร่วมงานจะไปบันทึกเสียงกันที่ Abbey Road สตูดิโอในลอนดอน ที่เดียวกับที่วงบีทเทิลเคยสร้างสรรค์บทเพลงอันยอดเยี่ยมมาแล้วมากมาย
ทาง BBC รายงานว่า เจฟ เอเมอริค ผู้ที่เป็นซาวด์เอนจิเนียร์ Sgt Pepper ต้นตำรับเผยว่าจะใช้เครื่องมือเดียวกันกับที่สมาชิกของสี่เต่าทองเคยใช้ในการบันทึกเสียงครั้งนี้เช่นกัน
เกลดอฟ เผยว่าเขากำลังชักชวนศิลปินรายอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมโปรเจ็คท์นี้อีก โดยเฉพาะยอดวงอย่าง U2 ที่เขาต้องการให้มาร่วมงานด้วยเป็นพิเศษ
เลสลี ดักลาส คอนโทรลเลอร์ของ Radio 2 กล่าวว่า "มันจะไม่ใช่แค่โชว์ทางวิทยุที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของวงการดนตรีเลยทีเดียว ทั้งความหลากหลายและคุณภาพของศิลปินที่มาร่วมงานมั่นใจได้เลยว่ามันจะเป็นการทริบิวให้กับอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้อย่างเหมาะสมที่สุด"
ยังไม่รายงานว่าศิลปินแต่ละรายจะนำเพลงใดมาคัพเวอร์กันบ้าง
ผู้จัดการออนไลน์