วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2550
หม้อวิเศษ..จงบอกข้าเถิด
เป็นพิธีกรณ์ นอนดูไปก็ขำๆ ไป ในการนำเสนอและก็เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้หม้อนี้น่าใช้มากขึ้นเป็นกอง เรื่องของเรื่องก็คือว่า
ชื่อผลิตภัณฑ์:
หม้อดินสำหรับตุ๋นซุป
ลักษณะภายนอก:
เป็นหม้อลักษณะหม้อดินบ้านเราที่เป็นทรงกระบอก ได้รับการเผาในเตาความร้อนสูง ซึ่งคงสูงซักประมาณ 30 ซม. ได้ ส่วนขนาดเส้นผ่านหน้ากลาง (ศูนย์กลาง) ก็ประมาณขนาดถ้วยเรานะครับ (ถ้วยใหญ่ใส่แกงนะไม่ใช้ขนมหวาน)
สิ่งที่ซ่อนอยู่:
ส่วนที่เป็นหม้อนี่เค้าว่าทำมาจากดินสีม่วงซึ่งเป็นดินที่มีเฉพาะในมณฑลอะไรไม่รู้ในจีนเท่านั้น และเป็นดินชนิดเดียวกันกับที่ใช้เผาทำหม้อดินสำหรับต้มซุปให้กับฮ่องเต้... นั่นแน่ชักสนุกแล้วใช่ไหมครับท่าน...
ประโยชน์ใช้สอย:
สำหรับต้มซุปที่อะร่อยที่สุดในจักรวาลด้วยราคาที่ แพงที่สุดในจักรวาลเช่นกันครับ...
คุณสมบัติพิเศษ:
รู้สึกว่าเป็นเตาที่สามารถต้มได้โดยที่เราไม่ต้องใช้เตาถ่านครับ ไม่ต้องจุดไฟเอง ... ก็เค้ามีปลั๊กไฟมาให้แล้วน่ะ ติดตั้งมาเสร็จเลย โอ้โฮ้ เวอร์คๆๆ
จุดเด่นอีกประการที่เน้นมากๆ เลยก็คือ หม้อนี้เค้าทำมาจากดินสีม่วงที่มีคุณภาพดีมาก (อาจดีกว่าดินด่านเกวียนของเรานะครับ..อันนี้ผมเดาเอาเอง)
เนื้อหาการนำเสนอ:
เค้าก็มีสัมภาษณ์คนที่มีหม้อนี้ (ไว้โฆษณา) ครับ
คนแรกเป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 อยู่ในชุดหนุ่ม Office มาดแมน ก็พูดว่า "ตั้งแต่ผมมีหม้อนี้นะครับผมมีสุขภาพดีขึ้นมากเลยครับ เนื่องจากมีซุปร้อนๆกินเป็นประจำ"
@#$@%# ฮ่วย ไม่มีไอ้หม้อนี่ที่บ้านคงทานแต่น้ำเย็นมั้งครับ เลยไม่ค่อยสบาย 5555
อีกคนซึ่งเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 40 อยู่ในชุดประมาณว่าแม่บ้านแบบอาซ้อ บอกว่า "ตอนนี้สบายมากเลยค่ะ เพราะลูกเค้าต้มซุปให้ทานเป็นประจำเลยตั้งแต่ได้หม้อตุ๋นนี้มา"
เอ!! แสดงว่าถ้าไม่มีไอ้หม้อนี้แล้วลูกเค้าคงทอดทิ้งให้ไปอยู่บ้านบางแคร์มั้งครับท่าน....สงสัยมากๆในความกตัญญู?
ส่วนคนนี้ถ้าทางเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เพราะมาให้ข้อมูลสนับสนุนครับ มีคำถามหนึ่งคุณดวงตาเค้าถามว่า "เอหม้อนี่ถ้าเราเทียบกับการต้มนี่จะเป็นยังไงค่ะ" ท่านคนนั้นก็ตอบว่า
"หม้อตุ๋นของเรานี่ทำจากดินอย่างดีทีใช้สำหรับการตุ๋นโดยเฉพาะ และแม้แต่จักรพรรดิ์จีนก็ยังใช้กันสืบทอดมายาวนาน แล้วเมื่อเทียบกับการต้มแล้ว..."
เริ่มเข้าเรื่องแล้วครับท่าน
"การต้มนั้นก็ต้มประเดี๋ยวประด๋าว ..คงไม่สามารถเทียบกับการตุ๋นของเราได้หรอกครับ การตุ๋นนั้นจะทำให้ซุปที่ได้นั้นมีรสชาติกลมกล่อมน่าทานกว่าแน่นอนครับ"
เค้าตอบมาก็เลยงงนะครับ...
คือถ้าต้มแป๊บเดียวซุปไม่เข้มข้น....ก็ทำไมไม่ต้มนานๆ ให้มันเปี่อยๆ ไปเลยละครับท่าน แล้วไอ้ตุ๋นกับต้มเนี่ยมันช่วยให้ชีวิตเราต่างกันยังไง
ครับช่วยบอกทีครับ.. เช่นว่า วิตามินจะยังคงอยู่ไหม หรือถ้าต้มเนี่ยน้ำที่ได้มันจะขุ่นแล้วเนื้อออกเละๆ ถ้าตุ๋นจะได้น้ำที่กลมกล่อมเนื้อเปื่อย
ไม่เละ เออ อย่างนั้นก็ว่ากันไป..แหมนี่เล่น ต้มประเดี๋ยวประด๋าว คงสู้ตุ๋นไม่ได้ โห!! ทำไม่ไม่บอกมาเลยละว่า
..ศักสิทธิ์ เป็นสิริมงคลกับคนที่มีไว้ครอบครอง...
แล้วไอ้ดินสีม่วงนี่มันดียังไงอ่ะ ไม่มีความรู้จริงๆ ครับใครรู้เรื่องดินนี้บอกทีนะจะได้เก็บเป็นข้อมูล แล้วต๋นกับต้ม นี่มันคนละ Concept นี่ไหงไม่เทียบให้มันได้เห็นภาพหน่อย หรือไม่ก็ไปเทียบกับหม้อตุ๋นดินทั่วๆ ไปที่เราใช้กัน จะได้รู้ซะทีว่ามันดียังไง... (ดินสีม่วงนี่เผามาแล้วได้
สีแดงเหมือนอิฐแดงๆ เหมือนกับหม้อเดิมของเรารึเปล่า...ข้องใจ!) ...
แต่เดี๋ยวก่อน... ตอนนี้เวลานี้ (ตีอะไรว่ะ..) 5,900 เราไม่ขาย 4,900 เราก็ไม่ขาย, ...
ตกลง! มันจะขายเท่าไหร่???
พระเจ้าจ๊อด! มันยอดมาก...555
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2550
เมื่อธนาคารโลกสารภาพผิด 10 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
อภิชาต สถิตนิรามัย
เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารโลก (WB) ออกเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะต่อผู้สนใจเรื่องวิกฤตและการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ มาฉบับหนึ่ง (Report No.35051) เอกสารชิ้นนี้เป็นเอกสารที่ต้องการประเมินว่าโครงการเงินกู้ที่ให้แก่ไทยเพื่อแก้ไขวิกฤต ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว มากน้อยเพียงใด ในประเด็นใดบ้าง เมื่อทาบวัดกับวัตถุประสงค์ของโครงการเงินกู้สามโครงการ ในวงเงิน 1350 ล้านเหรียญอเมริกา โดยผ่านการประเมินของกลุ่มผู้ประเมินอิสระ (independent evaluation group)
วัตถุประสงค์ของโครงการทั้งสามมีอยู่ด้วยกัน 8 ประการ แต่ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะประเด็นที่ผู้เขียนสนใจเท่านั้น คือ
หนึ่ง การสร้างเสถียรภาพด้านการคลังและเศรษฐกิจมหภาคให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังการลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค.2540
เอกสารนี้เห็นว่าการเลือกใช้นโยบายการคลังแบบหดตัว โดยกำหนดให้ไทยต้องเกินดุลการคลัง 1% ของ GDP ในปีแรก ท่ามกลางวิกฤตขนานใหญ่ ซึ่งมี IMF เป็นผู้กำหนดและ WB เห็นชอบด้วยนั้น เป็นความผิดพลาดที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย ถดถอยมากกว่าที่ควร และฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ประสบวิกฤตด้วยกันแล้ว ศก.ไทยตกต่ำรุนแรงกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าทุกประเทศ ยกเว้นแต่เมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย (ซึ่งประสบวิกฤตทางการเมืองขนานใหญ่ ควบคู่ไปด้วย)
ในแง่นี้แล้ว เอกสารชิ้นนี้จึงเป็นการยอมรับความเห็นของผู้วิจารณ์ องค์กรระหว่างประเทศทั้งสองในขณะนั้น ดังเช่นความเห็นของ Stiglitz ผู้มีตำแหน่งเป็น chief economist ของ WB ในขณะนั้น และเป็นผู้แหวกประเพณีของการไม่วิจารณ์กันเองระหว่างองค์กรโลกบาลทั้งสอง ซึ่งทำให้ IMF เสียเครดิตไปมาก
เมื่อ ศก.ตกต่ำรุนแรงยิ่งขึ้น และฟื้นตัวช้าขึ้นแล้ว จากการให้ยาผิดขนานนี้ ทำให้กระบวนการปฏิรูปทั้งหมด สูญเสียเครดิตในสายตาประชาชน ซึ่งส่งผลให้กระบวนการปฏิรูปด้านโครงสร้างมีความเป็นไปได้ทางการเมืองน้อยลง และประสบความสำเร็จยากขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น การแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจ 11 ฉบับ ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นกฎหมาย “ขายชาติ” ไปเสียทั้งหมด ทั้งๆ ที่หลายฉบับมีความจำเป็นต่อการปฏิรูป เช่น กฎหมายล้มละลาย
สอง การออกแบบมาตรการแก้ปัญหาสถาบันการเงินอ่อนแอ โดยการสั่งปิด 56 บ.ไฟแนนซ์ และไม่มีแผนการรองรับที่ดีพอ ก่อให้เกิดผลกระทบและต้นทุนโดยไม่จำเป็นแก่ ศก.ในหลายแง่ คือ
ก) การไม่แยกหนี้เสียและหนี้ดีของบริษัทเงินทุน (บง.) ออกจากกัน ในขณะที่อนาคตของ บง.เหล่านั้นถูกแขวนอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ลูกหนี้ดีไม่มีผู้ดูแลและขาดเงินหมุนเวียนในธุรกิจ จนสุดท้ายต้องการเป็นหนี้เสียไปโดยไม่จำเป็น ในขณะที่ลูกหนี้เหล่านี้ก็ไม่สามารถไปกู้เงินจากสถาบันการเงินอื่นได้ เพราะหลักประกันเงินกู้ของเขาถูกแช่แข็งอยู่กับ บง.ที่ถูกสั่งระงับกิจการ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะวิกฤตโดยไม่จำเป็น
ข) จากข้อ ก ส่งผลต่อเนื่องให้ลูกหนี้ส่วนหนึ่งทำตัวเป็น strategic NPLs คือการถือคาถา ไม่หนีหนี้ แต่ก็ไม่จ่ายหนี้ด้วย โดยเฉพาะในสถานการณ์ credit crunch ที่หาเงินหมุนเวียนได้ยาก เพราะเมื่อลูกหนี้จ่ายหนี้แล้ว สถาบันการเงิน ไม่ปล่อยกู้รอบใหม่ ตนย่อมขาดเงินหมุนเวียน ทำให้มีผลเสียต่อ credit culture ในระยะยาว
ค) การสั่งปิดสถาบันการเงิน พร้อมกันจำนวนมาก ซึ่งมีสินทรัพย์รวมกันคิดเป็น 15% ของ GDP ในขณะที่ทางการไม่มีกำลังคน ประสบการณ์ หรือความสามารถในการจัดการ “ทำศพหมู่” จำนวนเท่านี้มาก่อน (ซึ่งต่อให้เป็นประเทศตะวันตก ที่มีระบบกำกับสถาบันการเงินที่เข้มแข็งกว่ามาก หากต้องจัดการกับปัญหาในระดับนี้แล้ว ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจะทำได้เพียงใด) ความยากลำบากในการจัดการ รวมทั้งการไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจนว่าจะ “ทำศพ” หรือไม่ อย่างไร ทำให้ ศก.ไม่ฟื้นตัวในอัตราที่เร็วกว่าที่เกิดขึ้นจริง เพราะทรัพย์สินจำนวนมากของระบบถูกล็อกอยู่กับ บง.ที่ถูกสั่งปิด มาตรการที่ควรทำมากกว่าการสั่งปิด ก็คือการเข้าไปแทรกแซงแทนการสั่งปิดสถาบันที่อ่อนแอ แล้วแยกหนี้ดีออกมาให้องค์กรหนึ่งดูแล (จัดตั้ง bridge bank) ในขณะที่ถ่ายหนี้เสียไปให้องค์กร เช่น ปรส.ขายทิ้ง ก็จะไม่สร้างปัญหาในข้อ ก ถึงข้อ ค
สาม การปรับโครงสร้างหนี้ของภาคธุรกิจจริง (real sector corporate restructuring) ด้านโครงสร้างการเงินเพื่อแก้ปัญหา NPL นั้น การปรับโครงสร้างนี้ก็มีคุณภาพต่ำ เพราะจำนวนมากใช้วิธีการยืดเวลาการชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย ฯลฯ แต่มีการลดมูลหนี้น้อย ทำให้เกิด NPL ย้อนกลับจำนวนมากในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถาบันการเงิน ไม่ต้องการรับรู้ผลการขาดทุน (realized losses) อย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลัวการตั้งสำรอง ซึ่งจะมีผลให้ธนาคารต้องเพิ่มทุนและผู้ถือหุ้นเดิมต้องลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของลง (และเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเข้าร่วมในโครงการเติมทุนให้ธนาคาร ตามแผน 14 สิงหาคม ของรัฐบาลชวน) ธนาคารจึงใช้วิธีปรับโครงสร้างลูกหนี้แบบ “หลอกๆ” (cosmetic restructuring) ข้างต้น โดยหวังว่าเมื่อ ศก.ฟื้นตัวแล้วฐานะของลูกหนี้จะดีขึ้นเอง
ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภาคสมัครใจภายใต้การดูแลของธนาคารชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการนอกศาล ส่วนกระบวนการจัดการหนี้ภายใต้กฎหมายล้มละลายนั้นยิ่งประสบความยากลำบากมากกว่า เนื่องจากชุดกฎหมายที่กำกับความสัมพันธ์ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ของไทยนั้นล้าหลังมาก และเข้าข้างลูกหนี้ เช่น กฎหมายล้มละลายไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการปรับโครงสร้าง (rehabitation) ในขณะที่กระบวนการบังคับหลักประกัน ก็กินเวลาเป็น 10 ปี เป็นต้น ดังนั้นองค์กรโลกบาลทั้งสองจึงบรรจุการแก้กฎหมายชุดนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขเงินกู้ แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวุฒิสมาชิก NPLs ในยุคนั้น จนเมื่อแก้ไขแล้ว กฎหมายล้มละลายก็อ่อนลงกว่าที่ตั้งใจไว้มาก เช่น บทบัญญัติที่กำหนดให้บุคคลล้มละลาย ถูกปลดออกจากสภาพล้มละลายโดยอัตโนมัติภายใน 3 ปี ซึ่งหมายความด้วยว่าหนี้สินทั้งหมดเป็นอันยกเลิกต่อกัน ทำให้เจ้าหนี้มีเวลาเพียงแค่ 3 ปีในการติดตามทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย ในขณะที่การฟ้องหนี้ในกฎหมายแพ่งนั้น เจ้าหนี้มีเวลาในการตามทรัพย์เป็นเวลาถึง 10 ปี ด้วยกฎหมายที่อ่อนแอนี้เองทำให้ลูกหนี้ หลบเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการในการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้กระบวนการปรับโครงสร้างทั้งหมดช้าลง ทำให้การขยายตัวของสินเชื่อทำไม่ได้ ดังนั้นภาคเศรษฐกิจจริงจึงฟื้นตัวช้าตามไปด้วย
ในแง่หนึ่ง การเสนอให้ไทยแก้กฎหมายล้มละลายตามแบบกฎหมาย chapter 11 ของอเมริกา ก็เป็นความผิดพลาดในการออกแบบมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ ขององค์กรโลกบาลเองด้วย เพราะการออกแบบ ไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนแอของระบบกฎหมายชุดนี้อย่างพอเพียง ดังนั้น เมื่อต้องผลักดันการแก้กฎหมายจำนวนมาก ในเวลาอันสั้น จึงก่อให้เกิดแรงต่อต้านทางการเมืองมากไปด้วย การแก้ปัญหา NPLs อาจจะรวดเร็วขึ้นกว่าที่เกิดจริง หากเน้นไปที่กระบวนการแก้ปัญหานอกระบบศาลเสียตั้งแต่ต้น
นอกจากการปรับโครงสร้างทางการเงินข้างต้นที่ช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ยังปรากฏด้วยว่าการปรับองค์กร (operational restructuring) เกิดขึ้นน้อยมาก ตัวอย่างเช่น การกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ ก็ยังคงไม่แตกต่างไปจากก่อนวิกฤต มากกว่าครึ่งของภาคธุรกิจยังคงตกอยู่ภายในกำมือของคนเพียง 15 ตระกูลเช่นเดิม หากเชื่อว่าการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของนี้เป็นสาเหตุสำคัญหนึ่ง ที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถต้านทาน ต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงลบได้ (economic shock) เนื่องจากโครงสร้างที่กระจุกตัวเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจได้รับสินเชื่อจากธนาคารมากเกินสมควร ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจไทยก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อ shock ต่อไปเช่นเดิม
การกระจุกตัวที่สูงมีนัยว่า เนื่องจากธุรกิจแบบครอบครัวต้องการรักษาระดับความเป็นเจ้าของบริษัทที่สูง ดังนั้นแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการจึงมาจากการก่อหนี้ต่อสถาบันการเงิน แทนที่จะระดมทุนจากคนภายนอกตระกูล ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนสูง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น หรือเมื่อหนี้ที่กู้เป็นเงินตราต่างประเทศโดยไม่ประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แล้วเงินบาทลดค่าลง บริษัทเหล่านี้ก็จะล้มง่าย
ความไม่สำเร็จในสามประการข้างต้นจึงเป็นการอธิบายว่า เหตุใดเศรษฐกิจไทยจึงฟื้นตัวช้ากว่าประเทศที่ประสบวิกฤตในปี 2540 และอาจตีความต่อได้ว่าระบบเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่แม้ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชน ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2503-2529 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเศรษฐกิจฟองสบู่เสียอีก ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลจากการขยายตัวของการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนลงมากหลังปี 2540 และการขยายตัวของการค้าโลกที่สูง
แม้ว่า WB จะสารภาพผิดแล้วก็ตาม แต่นี้มิได้หมายความว่าความผิดทั้งหมดเป็นขององค์กรนี้ โดยที่เราไม่ผิดเลย อย่างน้อยการแก้ไขกฎหมายล้มละลายให้อ่อนกว่าที่ควรจะเป็นจากแรงผลักดันของ ฝ่ายลูกหนี้ และจนกระทั่งปัจจุบันร่างกฎหมายที่สำคัญต่อระบบการเงินสามฉบับ คือ พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ร.บ.ประกันเงินฝาก ก็ยังไม่ประกาศใช้ ทั้งๆ ที่เริ่มร่างมาสิบปีแล้ว ก็เป็นตัวอย่างของความล้มเหลวของการปฏิรูปที่เราโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง
สำหรับ WB อย่างน้อยก็มีกระบวนการตรวจสอบตัวเอง แล้วเราล่ะ
ที่มา OnOpen Online
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550
ททท.ร้องลั่น“ท้อแต่ไม่ถอย” เหนื่อยอีกยกปลุกตลาดโลว์ซีซั่น
ททท.ท้อแต่ไม่ถอย เร่งสปีดกระตุ้นนักท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น ชู 4 ตลาดเป้าหมาย ตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พร้อมรุกตลาดใหม่ แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ยอมรับตลาดสิงคโปร์ และมาเลเซียถดถอย มั่นใจโลว์ซีซั่นปีนี้ต้องดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 ล้านคน ถึงสิ้นปีเข้าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ตลาดในประเทศ เล็งออกโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ชวนคนไทยท่องเที่ยวอย่างรู้คุณค่า
นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้ (เม.ย.-ก.ย.) ททท. ได้วางแผนทำตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ และ ได้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ถึงสิ้นปีตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ ตลาดต่างประเทศ 14.8 ล้านคน รายได้ 5.47 แสนล้านบาท และ ตลาดคนไทย 82 ล้านคนครั้ง รายได้ 3.8 แสนล้านบาท
โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศ จะเป็นแผนต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งการกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงโลว์ซีซั่น ททท. ได้ทำต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี และปีนี้จะเป็นปีที่ 3 โดยเราตั้งความหวังว่าช่วงโลว์ซีซั่นจะต้องมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ล้านคนตลอดช่วง 6 เดือน ซึ่งแผนงานคือจะร่วมกับบริษัททัวร์นำเที่ยวในต่างประเทศ สมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) และ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) จัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งตลาดเป้าหมายในช่วงฤดูนี้ ได้แก่ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ นอกจากนั้นจะเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น แอฟฟริกาใต้ อินโดนีเซีย และ ฟิลลิปปินส์
“ยอมรับว่า จากเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ส่งผลกระทบให้หลายตลาดหลักของไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และ จีน เป็นต้น แต่ ททท.จะไม่ย่อท้อ เราจะหาตลาดใหม่ๆเข้ามาทดแทน เพื่อให้การทำงานของเราบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ และ เมื่อ สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ตลาดที่หายไปก็จะกลับคืนมาอีก ไทยก็จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดสิงคโปร์ ททท.ก็ไม่ได้หยุดทำตลาด ล่าสุด จับมือกับการบินไทย ไทเกอร์แอร์เวย์ และบริษัททัวร์ในสิงคโปร์อีก 10 ราย จัดแพกเกจทัวร์ไปจังหวัดอุดรธานี ซึ่งททท.จะใช้โอกาสนี้โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวอีสาน ส่วนนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ ก็ได้เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ
สำหรับตลาดตะวันออกกลาง ล่าสุด ในวันที่ 1-4 พ.ค.50 จะเดินทางไปร่วมงาน อาร์เบียนทราเวล มาร์ท(ATM) จัดที่ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต โดยมีเอกชนร่วมเดินทางไปทั้งสิ้น 68 ราย ทั้ง บริษัทนำเที่ยว โรงพยาบาล และ โรงแรม
นางพรศิริ กล่าวว่า ส่วนของตลาดในประเทศ ที่ประชุมคณะผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เห็นชอบแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลาดในประเทศแล้วภายใต้แนวคิด “เก็บเมืองไทยให้สวยงาม” และ มหัศจรรย์เมืองไทย ต้องไปสัมผัส” โดย ททท.จะเริ่มโฆษณาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนศกนี้เป็นต้นไป วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นตลาดคนไทยให้เดินทางท่องเที่ยวจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี สำหรับงบประมาณ ททท.จัดสรรไว้ที่ 20 ล้านบาท แบ่งเป็น 15 ล้านบาท เพื่อจัดทำสื่อโฆษณา ทั้ง ทางโทรทัศน์ ,สปอร์ตวิทยุ และ พริ้นแอท อีก 5 ล้านบาท จะใช้เพื่อการสื่อซื้อโฆษณาใหม่ๆ นอกจากนั้น จะลงโฆษณาในสื่อที่ ททท.ได้ขัดซื้อไปแล้วเมื่อตอนต้นปีด้วย รวมถึงในรายการที่ ททท.เป็นผู้สนับสนุน
“งบรวมตลาดในประเทศ ททท.ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้นราว 70-80 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งเป็นการจัดกิจกรรม อีเว้นต์ ต่าง การร่วมสนับสนุน และ การโฆษณา ซึ่งนโยบายหลักของ ททท. จากนี้ไป เน้นเรื่องการหาพันธมิตร ทั้งที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว และ ที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อย่าง บัตรเครดิตเคทีซี และ วีซ่าการ์ด เป็นต้น
ผู้จัดการออนไลน์
Oasis นำแก๊งเด็กแนวคัพเวอร์ Sgt Pepper ของ Beatles
Oasis, the Killers และ Kaiser Chiefs วงดนตรีร็อคชื่อดังแห่งยุค เตรียมจะจับมือกันทริบิวผลงานเพลงจาก Sgt Pepper's Lonely Hearts Club Band อัลบั้มชื่อก้องของวง the Beatles เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีตั้งแต่ผลงานชุดนี้อุบัติขึ้นมาบนโลก และเปลี่ยนแปลงวงการดนตรีทั้งปวง ตามรายงานจาก nme.com
Sgt Pepper's Lonely Hearts Club Band อัลบั้มชุดที่ 8 ของ the Beatles ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 1 มิ.ย. 1967 ซึ่งถือเป็นผลงานที่สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ และอิทธิพลให้กับวงการเพลงอย่างมหาศาล
เนื่องในโอกาสที่อัลบั้มดังกล่าวกำลังจะมีอายุครบ 40 ปี วงดนตรีชื่อดัง นำโดยวงที่อ้างถึงอิทธิพลของวงเขามากที่สุดอย่าง Oasis จะร่วมกันคัพเวอร์บทเพลงอมตะในชุดดังกล่าวสำหรับการออกอากาศทางสถานีวิทยุ BBC2 ของอังกฤษในวันที่ 2 มิ.ย.นี้
โดยศิลปินที่ร่วมโปรเจ็คท์นี้ด้วยมีทั้ง the Killers, Kaiser Chiefs, Razorlight, เจมส์ มอร์ริสัน, the Fratellis และ Travis
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญดังกล่าวได้แก่ศิลปินนักเคลื่อนไหวตัวยงอย่าง บ็อบ เกลดอฟ แห่ง Live 8 ที่กล่าวว่าวงดนตรีทั้งหมดที่มาร่วมงานจะไปบันทึกเสียงกันที่ Abbey Road สตูดิโอในลอนดอน ที่เดียวกับที่วงบีทเทิลเคยสร้างสรรค์บทเพลงอันยอดเยี่ยมมาแล้วมากมาย
ทาง BBC รายงานว่า เจฟ เอเมอริค ผู้ที่เป็นซาวด์เอนจิเนียร์ Sgt Pepper ต้นตำรับเผยว่าจะใช้เครื่องมือเดียวกันกับที่สมาชิกของสี่เต่าทองเคยใช้ในการบันทึกเสียงครั้งนี้เช่นกัน
เกลดอฟ เผยว่าเขากำลังชักชวนศิลปินรายอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมโปรเจ็คท์นี้อีก โดยเฉพาะยอดวงอย่าง U2 ที่เขาต้องการให้มาร่วมงานด้วยเป็นพิเศษ
เลสลี ดักลาส คอนโทรลเลอร์ของ Radio 2 กล่าวว่า "มันจะไม่ใช่แค่โชว์ทางวิทยุที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของวงการดนตรีเลยทีเดียว ทั้งความหลากหลายและคุณภาพของศิลปินที่มาร่วมงานมั่นใจได้เลยว่ามันจะเป็นการทริบิวให้กับอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้อย่างเหมาะสมที่สุด"
ยังไม่รายงานว่าศิลปินแต่ละรายจะนำเพลงใดมาคัพเวอร์กันบ้าง
ผู้จัดการออนไลน์
“ทิพาวดี” โยน ครม.ชี้ชะตากรรม “ทีไอทีวี” 24 เม.ย.นี้
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
“รมต.ประจำสำนักฯ” เตรียมโยน ครม.กำหนดชะตากรรม “ทีไอทีวี” 24 เม.ย. หลังประชาชนต้องการทีวีสาธารณะ-เสรี ปราศจากการถูกครอบงำจากกลุ่มทุน วาดฝันเอสดียูจะคลอดเร็วๆ นี้
วันนี้ (11 เม.ย.) คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการกำหนดอนาคตสถานีโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา นางดรุณี หิรัญรักษ์ ประธานคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดอนาคตของสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟ ได้รายงานว่า จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้วเห็นว่าควรมีทั้งทีวีสาธารณะ และทีวีเสรี คือต้องการให้มีทีวีทั้ง 2 ช่อง โดยทีวีสาธารณะจะต้องเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ไม่มีโฆษณา ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของทุน ประชาชนมีส่วนร่วม และรัฐก็จะสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อผลิตรายการสาระความรู้
รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบของทีวีเสรีนั้นสามารถประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ได้ โดยจะให้มีโฆษณาและกระจายหุ้นให้เอกชนร่วมถือ แต่ไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้าของ ต้องกระจายหุ้นกันไปให้ส่วนต่างๆ เพื่อให้ปลอดการครอบงำของกลุ่มทุน โดยเราจะดำเนินการทุกอย่างโดยไม่รีรอ อย่างไรก็ตาม ตนจะนำข้อเสนอเหล่านี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม.ในวันที่ 24 เมษายนต่อไป
“การจะได้ทีวีเสรี และทีวีสาธารณะขึ้นมา 2 ช่องนั้นจะต้องเร่งยกร่างกฎหมายขึ้น 2 ฉบับ โดยขณะนี้ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิช และทีมงานก็กำลังเตรียมยกร่าง แต่การจะขอคลื่นโทรทัศน์ขึ้นมาอีกหนึ่งช่องนั้นจะต้องรอให้ กสช.เกิดเสียก่อน เพราะหากมีทีวีขึ้นมาอีกหนึ่งช่องจะติดขัดในข้อกฎหมายของ พ.ร.บ.คลื่นความถี่ มาตรา 80”
คุณหญิงทิพาวดี กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของทีไอทีวีนั้น ปัญหาเฉพาะหน้านั้นคาดว่า เร็วๆ นี้องค์กรรูปแบบพิเศษ (เอสดียู) จะแล้วเสร็จ โดยล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์ได้เสนอแผนการเงินไปยังคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด ก.พ.ร.ในวันที่ 20 เมษายนนี้
ผู้จัดการออนไลน์
ASTV คว้ายอดเยี่ยม ข่าวเหตุการณ์รางวัลแสงชัยฯ
ภาพ ตร.สั่งกุ๊ยกระทืบผู้หญิง-คนแก่ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผลงาน เอเอสทีวี คว้ารางวัลยอดเยี่ยม ภาพข่าวเหตุการณ์ ในการประกาศรางวัล “แสงชัย สุนทรวัฒน์” ประจำปี 2549 ทีมงานเผยภูมิใจ และมีกำลังใจ เพราะทุกคนต่างทุ่มเท และอยู่ท่ามกลางความกดดันของฝ่ายเชียร์ และฝ่ายต้านระบอบทักษิณ
วันนี้ (11 เม.ย.) ที่ห้องส่ง 1 อสมท ถ.พระราม 9 สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มูลนิธิแสงชัย สุนทรวัฒน์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดงานประกาศผลข่าว-สารคดีโทรทัศน์และวิทยุ รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ ประจำปี 2549 เพื่อประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลแก่เจ้าของผลงานที่มีคุณภาพ มีคุณค่าต่อการสร้างสรรค์ และมีศักยภาพนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น ปีนี้มีผลงานที่ส่งเข้าประกวดด้านข่าวโทรทัศน์ มีทั้งหมด 35 เรื่อง ด้านวิทยุ 24 เรื่อง ส่วนรางวัลข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่น มีข่าวเข้าประกวด 26 เรื่อง
ผลการประกาศรางวัล ปรากฏว่า ข่าวโทรทัศน์ประเภทข่าวเหตุการณ์ รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ เรื่อง “เหยื่อระบอบทักษิณ” จากสถานีโทรทัศน์ ASTV NEWS 1 โดยภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มอันธพาลไล่รุมทำร้ายชายชรา และผู้หญิงที่ไปประท้วงขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 โดยมีพ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา อดีตผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน นครบาล 6 เป็นผู้ยื่นสั่งการ ซึ่งภาพดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานที่ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิด พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ ถึงขั้นไล่ออกจากราชการ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ประชาชนทั่วไปยังไม่มีโอกาสได้ชมมากนัก เนื่องจากมีการนำออกอากาศเฉพาะเอเอสทีวีเท่านั้น และเพิ่งได้ออกฟรีทีวีครั้งแรกผ่านรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่ได้ออกอากาศทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อประชาชนจำนวนมากได้ชมภาพดังกล่าวต่างแสดงความประหลาดใจ เพราะเพิ่งทราบว่ามีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการบันทึกภาพเหตุการณ์บริเวณหน้าตึกเซ็นทรัลเวิลด์ ของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีนั้น ใช้ทีมช่างภาพจำนวน 6 คนด้วยกัน ประกอบด้วย นายทศพล โอมานนท์ นายอังคาร รัตนะ นายเมธี สายศร นายกมล กลีบศรี นายบัญชา แก้วประชุม และนายนำพล ภูมิอมร ช่างภาพโทรทัศน์ประจำสถานีโทรทัศผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี
นายนำพล กล่าวถึงรางวัลที่ได้รับ ว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ เพราะทุกคนต่างทุ่มเททำงาน และอยากให้ได้ภาพที่ดีที่สุด ซึ่งการทำงานในเวลานั้นค่อนข้างกดดัน เนื่องจากอยู่ท่ามกลางกลุ่มของผู้ขับไล่ทักษิณ และเชียร์ทักษิณ
“ทีมของผมเป็นทีมที่ต้องตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไปเปิดงานที่ตึกดังกล่าว หลังจากเปิดงานแล้วก็ลงมาจากตึก ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเสียงดัง ผมรีบออกวิ่งไปดู และเก็บภาพได้พอดี ซึ่งตอนนั้นชุลมุนมาก ต้องบอกให้ผู้สื่อข่าวหลบไปจากตรงนั้นก่อน ขณะที่ถ่ายภาพอยู่ก็ต้องระวังหลังไปด้วย แต่เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ เพราะต้องการให้ได้ภาพที่ดีที่สุด”
ด้าน นายอังคาร กล่าวว่า สถานการณ์ในวันเกิดเหตุนั้นค่อนข้างตึงเครียด เพราะมีทั้งกลุ่มที่ตะโกนทักษิณสู้ๆ และทักษิณออกไป ซึ่งตนคาดว่าอาจจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น จึงระมัดระวังและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทำให้สามารถเก็บภาพได้ทันเวลา
“ในการไปทำงานครั้งนั้น พนักงานเอเอสทีวีทุกคนต้องเก็บบัตรไว้ เพราะเราได้รับความกดดันมาตลอดจนทุกคนรู้ว่าต้องไม่แขวนบัตร รางวัลที่ได้รับมาผมรู้สึกดีใจ และภูมิใจมากเป็นกำลังใจให้กับพนักงานเอเอสทีวีทุกคน แต่ก็ยังเสียใจที่ตอนนั้นไม่สามารถช่วยลุงที่ถูกทำร้ายได้มากนัก” นายอังคาร กล่าว
อนึ่ง สำหรับการประกาศรางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ ประจำปี 2549 นี้ ทางคณะผู้จัดการประกวด มีมติเพิ่มรางวัล 2 รางวัล คือ 1.รางวัลเกียรติยศสื่อมวลชนที่สร้างคุณูปการให้กับวงการวิทยุโทรทัศน์ในเมืองไทย ได้แก่ นายสรรพสิริ วิรยศิริ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด และสถานีวิทยุกระจายเสียง ททท.นักสื่อสารมวลชนผู้ยืนหยัดการทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บุกเบิกวงการข่าวโทรทัศน์ยุคแรก และได้นำเสนอภาพความรุนแรงของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จึงเป็นสาเหตุทำให้ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา และ 2.รางวัลข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่น รางวัลดีเด่น ได้แก่ เรื่อง “โรงงานถ่านหิน” จากบริษัท มหาชัยเคเบิลทีวี จำกัด รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “น้ำท่วมเกลือ” จากบริษัท บางละมุงเคเบิลทีวี จำกัด
สำหรับผลรางวัลข่าวและสารคดีเชิงข่าวด้านโทรทัศน์ ดังนี้
ข่าวโทรทัศน์ประเภทสืบสวนสอบสวน รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “ขบวนการขายวิวข้ามชาติ” จากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
ข่าวโทรทัศน์ประเภทสารคดีเชิงข่าวในรายการข่าวโทรทัศน์ รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ เรื่อง “เผชิญความตายอย่างสงบ” จากสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และรางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “ไฟใต้ยังไม่ดับ” จากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
ข่าวโทรทัศน์ประเภทสารคดีเชิงข่าวในรายการโทรทัศน์ทั่วไป รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ เรื่อง “ในน้ำมีปลา ในนาน้ำ (ตา) ท่วม” ของบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด เสนอทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ ทีวี รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “เหลี่ยมชีวิตทักษิณ ชินวัตร” จากเนชั่นแชนนัล
ข่าวโทรทัศน์ประเภทข่าวเหตุการณ์ รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ เรื่อง “เหยื่อระบอบทักษิณ” จากสถานีโทรทัศน์ ASTV NEWS 1 รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “รถติดแก๊สระเบิด” จากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
ผลรางวัลข่าวและสารคดีเชิงข่าวด้านวิทยุ ดังนี้
ข่าววิทยุประเภทข่าวประกอบเสียง รางวัลดีเด่น ได้แก่ เรื่อง “น้ำมันปนน้ำ” จากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง “ความเห็นประชาชนต่อการชุมนุมที่ ถ.พระราม 1” จากสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข่าววิทยุประเภทสารคดีวิทยุ รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ เรื่อง “เหยื่อ…จรรยาบรรณ” จากสำนักข่าวไทย อสมท รางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ เรื่อง “โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” จากสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรื่อง “สิทธิมนุษยชนคนแม่ตาว” จากสำนักข่าวไทย อสมท
ทั้งนี้ คณะผู้จัดการประกวดยังได้ประกาศเกียรติคุณสำหรับนักข่าว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานของสื่อมวลชนที่มีคุณภาพสู่สังคมไทยต่อไป
สำหรับการประกวดรางวัล แสงชัย สุนทรวัฒน์ ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 11 โดยมูลนิธิ แสงชัย สุนทรวัฒน์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการ อสมท ซึ่งถูกลอบยิงเสียชีวิต เนื่องจากการเข้าไปขัดขวางขบวนการทุจริตใน อสมท
ผู้จัดการออนไลน์
“ทีไอทีวี” ระส่ำหนัก! “ทนายคู่หู” แพแตก-แยกทางยึดจุดยืน
“ทีไอทีวี” ระส่ำหนัก!เหตุ “ทนายคู่หัวหมอ” กลายเป็นคู่หูแพแตก-เพราะเห็นต่างกรณีจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมือง จน “ทนายวันชัย” หันไปจัดรายการวิทยุกับ “มัลลิกา” แย้มจับตา “ฝ่ายข่าว” กุมอนาคตหม้อข้าวตัวเอง
วานนี้ (11 เม.ย.) แหล่งข่าวจากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาของพนักงานในทีไอทีวีว่า นับตั้งแต่การประกาศลาออกของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ผู้ดำเนินรายการร่วมมือร่วมใจ เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปทีไอทีวีเป็นทีวีสาธารณะว่า นอกจากนั้นยังมีความขัดแย้ง และความเห็นต่างในหมู่พนักงานมากขึ้น โดยมีทั้งที่เห็นด้วยกับ น.ส.มัลลิกา และไม่เห็นด้วย และยังมีปัญหาถึงการแดสงออกของพนักงานทีไอทีวีว่ามีความเหมาะสม หรือไม่ ในฐานะสื่อมวลชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชุมนุมเรียกร้องให้ออนแอร์ทีไอทีวีนั้น ระดับหัวหน้าข่าวบางคนถึงกับสั่งให้มีการเกณฑ์ชาวบ้านที่เคยมาร้องเรียนให้ไอทีวีช่วยเหลือ พากันมาร่วมชุมนุมต่อต้านคำสั่งปิดไอทีวี จนรัฐบาลต้องยอมสั่งให้ออกอากาศ
“ล่าสุดก็ถึงคราวอวสานของทนายความหัวหมอ คู่หูคู่ฮา คือทนายวันชัย สอนศิริ กับทนายประมาณ เลืองวัฒนวณิช ที่จัดรายการในไอทีวีมาหลายปี และเป็นรายการที่มีเรตติ้งค่อนข้างดี โดยเฉพาะรายการตีข่าวเล่าความในช่วงเช้าของสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี แต่ทนายทั้ง 2 เริ่มไม่ลงรอยกัน หรือไม่เข้าขากันในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทนายวันชัย ค่อนข้างจะโน้มเอียงมาทั้งพันธมิตรฯ ในขณะที่ทนายประมาณ โน้มเอียงไปทางสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขนาดไปว่าความในศาลปกครองให้กรณีคดีไอทีวีกับ สปน.ด้วย และกล่าวในระหว่างชุมนุมที่ไอทีวีว่า ถ้ากฎหมายไม่ดี รัฐบาลก็ควรแก้กฎหมายเพื่ออุ้มไอทีวี”แหล่งข่าว ระบุ
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวอีกว่า ในที่สุดทนายทั้ง 2 ก็ต้องแยกทางกัน โดยไม่มีการจัดรายการร่วมกันในทีไอทีวี และเป็นจุดจบของทนายคู่หูคู่ฮา ซึ่งในปัจจุบันทนายวันชัย ออกมาจัดรายการเต็มตัวกับ น.ส.มัลลิกา ในรายการคุยข่าวเล่าความ ทางสถานีวิทยุ Fm 105 ทุกวัน ส่วนสถานการณ์ในทีไอทีวี ก็ยังคงไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลว่า จะแก้ปัญหาอย่างไรทำให้พนักงานเริ่มทยอยออกไปหางานใหม่ จะเหลือก็เพียงฝ่ายข่าว ซึ่งกำลังถูกจับตามมองว่ากำลังคิดอะไร และมีแผนอะไรกับอนาคตทีไอทีวี
ผู้จัดการออนไลน์
“ป๋าเปรม” เตือนสติคนไทย ต้องระลึกถึงบุญคุณชาติ!
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ
“ป๋าเปรม” อวยพรเตือนสติประชาชนเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ย้ำชัดต้องระลึกถึงบุญคุณ “ประเทศชาติ” ระบุคนไทยต้องรัก-สามัคคีกันจะช่วยให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข ก่อนปัดตอบคำถาม คมช.ไม่กินเส้นรัฐบาล
วานนี้ (11 เม.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานพิธีบังสุกุลอัฐิบรรพบุรุษ “ตระกูลติณสูลานนท์” โดยมีคนในตระกูลเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ทั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้กล่าวอวยพรประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า วันสงกรานต์เป็นวันที่ต้องระลึกถึงบุญคุณ ว่าอะไรที่มีบุญคุณต่อเรา ดังนั้นต้องระลึกถึงสิ่งที่มีบุญคุณต่อเรามากที่สุดคือ ชาติของเรา ดังนั้นคนไทยควรระลึกถึงชาติมากที่สุด โดยชาติของเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขได้ เพราะคนไทยมีความรัก และความสามัคคีต่อกัน
เมื่อถามว่า แสดงว่าคนไทยมีความแตกแยกกันหรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า อย่าไปพูดว่าแตกแยกเลย เพียงแต่ไม่ค่อยระลึกถึงความสามัคคี ควรจะให้คนไทยระลึกถึงว่าความสามัคคีเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่คนไทยควรจะทำให้มีขึ้นระหว่างนี้ ส่วนประชาชนมีความเป็นห่วงกรณีความสัมพันธ์ระหว่างคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กับ รัฐบาล ว่าจะมีความขัดแย้งกันนั้น พล.อ.เปรม กล่าวว่า “อันนี้ผมพูดไม่ได้”
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 12 เม.ย.นี้ เวลา 15.00 น. พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะนำคณะนายทหารเข้าร่วมอวยพร พล.อ.เปรม เนื่องในวันสงกรานต์ประจำปี 2550 ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ โดยมีนายทหารระดับสูงที่เข้าร่วมอวย อาทิ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับ คมช.
สำหรับกำหนดการเดิม พล.อ.สุรยุทธ์ และคณะนายทหาร จะเดินทางเข้าอวยพร พล.อ.เปรม ในช่วงเช้า เวลา 09.00 น. แต่เนื่องจาก พล.อ.สนธิ ติดภารกิจปฏิบัติราชการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้มีการเลื่อนกำหนดมาในช่วงบ่าย เวลา
ผู้จัดการออนไลน์
พิลึก! “สุรยุทธ์” ชวน “สื่อ” ลุยใต้-กลับให้เซ็นรับยอมตายฟรี
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
“สุรยุทธ์” ทำพิลึก ชวน “สื่อทำเนียบฯ” ลงพื้นที่ใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้-แต่เจ้าตัวกลับไม่นอนค้างคืนด้วย แถมให้สื่อเซ็นลงนามยอมตายฟรีหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด จนอาจทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สิน
วานนี้ ( 11 เม.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากที่ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์เลื่อนกำหนดการพาสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เดินทางลงพื้น 3 จ.ชายแดนภาคใต้ เป็นวันที่ 19-21 เม.ย.นี้ โดยจากเดิมวันที่ 18-20 เม.ย. ทำให้สำนักโฆษกสำนักนายกฯ ต้องรีบประสานไปยังพื้นที่เพื่อเปลี่ยนแปลงกำหนดการทั้งหมด ทั้งเรื่องการเดินทางโดยเครื่องบินซี 130 และรถบัสที่เตรียมไว้สำหรับคณะสื่อมวลชน และโรงแรมที่พัก รวมไปถึงแผนรักษาความปลอดภัยที่เจ้าหน้าที่ ทั้งทหาร และตำรวจ จัดเตรียมไว้ด้วย ส่วนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทางโฆษกรัฐบาลอ้างว่า นายกฯ ติดภารกิจในวันที่ 19 เม.ย.ที่กรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถทราบว่าเป็นภารกิจใด
ล่าสุด แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า พล.ต.สุรพล อุดมชัยรัตน์ ช่วยราชการสำนักโฆษกสำนักนายกฯ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สำนักโฆษกฯ ปรึกษาไปยังทีมกฎหมายสำนักนายกฯ เพื่อทำหนังสือให้ผู้สื่อข่าวที่ลงชื่อร่วมเดินทางไปในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ทั้งสิ้น 68 คน ลงนามยอมรับข้อตกลงว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สิน จะไม่เรียกร้องค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยใดๆ จากภาครัฐ
“ทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ และไม่กล้าร่างหนังสือดังกล่าว เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าการไปพื้นที่ดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก และที่สำคัญนายกฯ เป็นผู้ออกปากชักชวนสื่อทำเนียบลงสัมผัสพื้นที่พร้อมกับตัวเอง แต่นายกฯ กลับลงพื้นที่เพียงแค่วันที่ 20 เม.ย.วันเดียว โดยไม่ค้างคืน ขณะที่สื่อจะต้องอยู่ในพื้นที่ 3 วัน 2 คืน”แหล่งข่าว ระบุ
ผู้จัดการออนไลน์
วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2550
Microsoft Virtual PC 2007
ผมว่าที่ให้มาฟรีนี่น่าจะเพื่อหวังโค่น VMWare นะเพราะ VMWare นั้นกินตลาดทางด้านนี้อยู่มากโดยเฉพาะ ระดัง Enterpriหe นี่ Virtual PC คงจะเจาะยาก เหตุผลสำคัญก็คือเรื่องของประสิทธิภาพที่คงทำให้สู้ VMWare ได้ยากมาก ที่สำคัญคือตอนที่เราต้องติดตั้ง OS ใหม่ (สร้าง VHD ไฟล์) ใน Virtual PC นี่มันจะช้ามากครับ
แต่ยังไงก็ฟรีถ้าอยากทดลองใช้ก็ไป Download เอาที่ลิงค์ด้านล่างแล้วกันครับ
Microsoft Virtual PC 2007.exe (30.41 MB)
วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2550
ซอฟต์แวร์อัจฉริยะจำทะเบียนรถเองได้ไม่ต้องใช้คน
ท่ามกลางโลกแห่งการสื่อสาร ซึ่งเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปไม่รู้จบ สอดคล้องกับวิถีที่ผู้คนต้องรีบเร่งและแข่งขันกับเวลา ปฏิเสธไม่ได้ที่ชีวิตของพวกเขาจะต้องเกี่ยวพันกับการเดินทางอยู่เสมอๆ ด้วย โดยจะดีไม่น้อยเลยหากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นนี้จะได้อำนวยความสะดวกสบายให้แก่การสัญจรไปมาของผู้คนด้วย
หนึ่งในนั้นคือ “โปรแกรมอ่านป้ายทะเบียนรถ” โดยนายเปรมนาถ ดูเบ จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ที่จะช่วยยกระดับ “เทคโนโลยีการจราจรอัจฉริยะ” ไปอีกขั้น
นายเปรมนาถ เล่าว่า ในปัจจุบันการตรวจสอบรถราที่เข้าออกในสถานที่ต่างๆ เช่น ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่สำคัญต่างๆ นั้น ยังขาดระบบจัดเก็บและสร้างฐานข้อมูลที่จะช่วยตรวจสอบรถที่เข้าออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ว่าเช่นนั้นก็เพราะยังขาดโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับความต้องการนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันที่ระบบการเก็บข้อมูลรถราที่เข้าออกสถานที่ เรายังสามารถเก็บได้เพียงภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด หรือภาพนิ่งจากกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเท่านั้น จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการใช้งานข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นนัก กล่าวคือจะไม่มีทั้งข้อมูลทะเบียนรถ และเวลาที่เข้าและออกจากสถานที่ซึ่งจะสามารถดึงออกมาใช้งานได้ทันที
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุรถหาย หรือต้องการติดตามรถที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เจ้าหน้าที่จึงต้องมาไล่ค้นหาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดหรือภาพนิ่งทีละภาพๆ ซึ่งกินเวลานานเกินไป แทนที่จะสืบค้นในฐานข้อมูลด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ทว่า สำหรับโปรแกรม “อ่านป้ายทะเบียนรถ” (License Plate Recognition System: LPR) ที่ได้พัฒนาขึ้น จะทำให้คอมพิวเตอร์ค้นหาตำแหน่งของป้ายทะเบียนรถได้เอง พร้อมทั้งมีระบบรู้จำที่ช่วยแปลงข้อมูลตัวอักษรจากภาพด้วยโปรแกรมโอซีอาร์มาเป็นตัวหนังสือที่สามารถจัดเก็บในฐานข้อมูลเพื่อง่ายแก่การสืบค้นได้ทันที โดยใช้เพียงอุปกรณ์ง่ายๆ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อพ่วงเข้ากับกล้องวงจรปิด พร้อมด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้ระบบสามารถจัดเก็บและสร้างฐานข้อมูลของรถที่เข้าและออกจากสถานที่ได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังอาจพ่วงระบบดังกล่าวเข้ากับระบบที่กั้นรถในที่จอดรถได้ด้วย ซึ่งแต่ละครั้งที่มีรถเข้าและออก คอมพิวเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล และควบคุมให้ที่กั้นรถเปิดให้รถผ่านเองได้โดยปลอดคนควบคุม ซึ่งเวลานี้ โปรแกรมดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการทำงานราว 95% สามารถรู้จำตัวอักษรภาษาไทย “ก -ฮ” และตัวเลขอารบิก “0 -9” ได้แล้ว
\ขณะที่ประโยชน์การใช้สอยโปรแกรมดังกล่าว นายเปรมนาถ แจกแจงว่า โปรแกรมดังกล่าวสามารถนำไปปรับใช้ในงานควบคุมหลายด้านคือ ใช้ในการจัดการที่จอดรถอัตโนมัติ การบันทึกเวลาเข้าและออกเพื่อคำนวณค่าจอดรถโดยไม่เกิดการรั่วไหล และการจำแนกรถราที่เข้าออกอาคารว่าเป็นรถภายในหรือรถของบุคคลภายนอก
\รวมถึงการรักษาความปลอดภัย การติดตามรถที่หายหรือรถที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และทำให้เกิดความประหยัดในการจัดการที่จอดรถ โดยจากความก้าวหน้านี่เอง นักวิจัยรายนี้ยังบอกด้วยว่า เขายังได้พัฒนาต่อไปให้โปรแกรมมีความอัจฉริยะมากขึ้น พร้อมๆ กับตอนนี้ได้มีห้างร้านเอกชนเข้ามาติดต่อทางเนคเทคเพื่อขอนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้แทนระบบการจัดการที่จอดรถแบบเก่าแล้วด้วย
\สำหรับผู้สนใจความก้าวหน้าในระบบจราจรอัจฉริยะชิ้นนี้ สามารถเข้าชมด้วยตัวเองได้ในงาน "บางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 28" ระหว่างวันที่ 30 มี.ค –8 เม.ย. ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ผู้จัดการออนไลน์
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2550
ชมรมคนเป็น “หนี้”
“หนี้” คำสั้นๆ ที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ เชื่อแน่ว่าหากเลือกได้แล้วร้อยทั้งร้อยคนทุกผู้ทุกนามย่อมไม่ พึงประสงค์ที่จะมีมันเอาไว้ในครอบครองเป็นแน่ หากแต่สำหรับหลายคนที่มีจำนวนรายจ่ายมากกว่ารายรับ แม้จะไม่เต็มใจในการที่จะต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตนเอง และครอบครัว
ยิ่งในยุคนี้สมัยนี้ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ฐานเงินเดือนของคนทำ งานระดับกลางค่อนข้างต่ำยังไม่มีการปรับขึ้นให้พอดีสมดุลกัน ยิ่งทำให้เกิดการกู้ยืมเงินมากขึ้น ซึ่งความต้องการในส่วนนี้ส่งผลให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั้งในรูปแบบของแบงก์ และนอนแบงก์ได้ผุดโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งเดบิต เครดิต สินเชื่อรูปแบบต่างๆ มากมาย หลากหลายสิทธิประโยชน์ที่ทั้งสถาบันฯ พยายามชวนเชื่อว่าเป็นการกู้ยืมที่ผู้บริโภคจะเสียเปรียบน้อยที่สุด ทำให้ขณะนี้ข้อมูลล่าสุดของผู้ที่มีหนี้สินในประเทศไทยนั้นอยู่ ที่ประมาณ 15 ล้านคน แบ่งเป็นผู้มีหนี้บัตรเครดิต 9 ล้านคน และหนี้สินเชื่ออีก 6 ล้านคน!!!
สุดท้ายบรรดาคนเป็นหนี้ทั้งหลายจึงต้องมารวมตัวกันและเปิด “ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล” ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
**เปิดตัวชมรม “คนเป็นหนี้”
สาโรจน์ จิรธรรมกูล ประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อธิบายถึงหนทางสู่วงจรอุบาทว์ในการเป็นหนี้ โดยได้ยกประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เป็นคนทำงานคนหนึ่งที่มีรายได้ค่อนข้างดี คือประมาณเดือนละ 30,000 บาท ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้บัตรเครดิต แต่ที่ทำเพราะมีเพื่อนชวนทำบ้าง มีพนักงานบัตรมาขอร้องให้ช่วยสมัครเพื่อทำยอดบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่บัตรเหล่านี้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายเวลาทำ จึงได้ใจอ่อนช่วยทำเอาไว้ หรือเชื่อเพื่อนเมื่อเพื่อนชักชวน ทำให้มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเงินด่วน ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในกระเป๋ากว่า 10 ใบ โดยแทบทุกใบอนุมัติวงเงินให้ถึง 10 เท่าของเงินเดือน คือประมาณ 300,000 บาทต่อหนึ่งใบ
“เวลามีอยู่ในกระเป๋ามันก็อดไม่ได้ ที่จะรูด รูดไปรูดมาก็รู้สึกว่ามันสะดวกดี ตอนนั้นเราพอมีกำลังจ่ายผ่อนบิลที่เรียกมาทุกเดือนได้ ก็เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตอนหลังมาคิดอยากทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือแต่ ไม่ประสบความสำเร็จ เงินเริ่มตึงมือ ก็หมุนบัตรโน้นมาจ่ายบัตรนี้ หนักเข้าเลยเป็นหนี้เต็มวงเงินทุกบัตร ก็เป็นล้านนะครับ”
สาโรจน์ เล่าต่ออีกว่า เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ 2 ปี กลับบ้านก็ไม่ได้เล่นกับลูกอย่างเคยเพราะเครียดหนักเรื่องหนี้สิน จนกระทั่งต้องมาระบายความอัดอั้นตันใจในเว็บบอร์ดของ “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นกระทู้เล็กๆ กระทู้หนึ่งในบอร์ดนั้น แต่ปรากฏว่ามีคนเข้ามาให้คำปรึกษา พร้อมกับที่มีผู้ร่วมชะตาเดียวกันมาปรับทุกข์ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการจุดประกายการสร้างสังคมของคนเป็นหนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และปรับทุกข์อันเกิดจากการเป็นหนี้ รวมถึงการหาทางออกให้กับชีวิตหนี้ของพวกเขา จึงเปิดเว็บไซต์ www.consumerthai.org/complinant_board1/index-php ขึ้น โดยปัจจุบันนี้มีกระทู้ในบอร์ดกว่า 20,000 กระทู้และมีสมาชิกชมรม 3,700 คน
เมื่อมีสมาชิกเยอะขึ้น และเห็นว่าควรทำกิจกรรมให้เป็นรูปธรรมมากกว่าการให้คำปรึกษาอยู่ แต่เฉพาะในโลกไซเบอร์เพียงอย่างเดียว การแถลงข่าวการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของชมรมฯ จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมาเพื่อให้ผู้เดือดร้อนจากการเป็นหนี้ได้พบปะเห็นหน้า เห็นตา และรู้ถึงการมีอยู่ของชมรมฯ นี้
“จุดประสงค์หลักของชมรมเรามี 4 ข้อ คือ ต้องการช่วยเหลือผู้เป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วน บุคคลที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนะแนวการปลดหนี้อย่างเป็นระบบและถูกกฎหมาย เพื่อให้ความรู้ด้านกฎหมายหนี้สิน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการคิดดอกเบี้ยและ เกิดขอบเขตของการติดตามหนี้” สาโรจน์ระบุ
**“บัตรก่อหนี้” ซื้อง่าย จ่ายคล่อง
"จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจอยากทำบัตรเครดิต แต่เห็นของแถมมันน่ารักดี ค่าทำก็ถูก ก็เลยสมัคร"
"ผมไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทำ แต่บางทีเพื่อนๆ มาชวนทำ หรือน้องเค้ามาหาลูกค้า ก็ช่วยทำไป"
"คือเราเป็นเจ้าของกิจการ ปกติใช้แต่เงินสด แต่มีเพื่อนทักว่าระดับนี้แล้วทำไมไม่ทำบัตรไว้บ้าง ก็เลยทำ"
"เห็นว่าฟรีค่าสมัคร แถมไม่ต้องจ่ายรายปี ก็เลยทำติดกระเป๋าไว้"
นี่คือตัวอย่างเหตุผลของหลากหลาย “ชีวิตหนี้” ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงปฐมบทแห่งการทำบัตรเครดิตหลายคนไม่มีความจำ เป็นต้องทำ แต่ด้วยถูกชักชวนและเห็นถึงข้อดีที่ทางสถาบันการเงินชวนเชื่อใน เชิงว่าทำไว้ไม่เสียหายอะไร จึงตัดสินใจทำ
ที่น่าสังเกตในความเหมือนของคนเหล่านี้ คือ แม้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน แต่เมื่อทำบัตรเครดิตเอาไว้กับตัวแล้วก็อดที่จะใช้ รูดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ไม่ได้ เนื่องจากข้อดีเฉพาะหน้าของบัตรเหล่านี้คือสามารถเนรมิตให้ผู้ใช้ กลายเป็นเศรษฐีชั่วคราวได้ภายในพริบตา และสามารถใช้การ์ดพลาสติกได้เหมือนกับการใช้เงินฟ่อนใหญ่ เพื่อซื้อความสะดวกสบายจากสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังคงหลงใหลได้ปลื้มไปกับ เจ้าบัตรเครดิตนี้อยู่
แต่เมื่อครบรอบวาระที่บิลค่าใช้จ่ายจากบัตรส่งตามมาเก็บถึง ที่บ้าน หลายต่อหลายคนแทบถึงกับล้มตึงเมื่อเห็นตัวเลขที่ต้องจ่าย
ไหนจะค่าใช้ที่จ่ายไปจริง ค่าดอกเบี้ยรายเดือน ค่าบริการ แถมยังต้องมีค่าจ่ายเมื่อนำบิลไปจ่ายที่จุดรับจ่ายตามร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง หรือที่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ และเมื่อเกิดภาวะฝืดเคืองของบัตร วงเงินบัตรใกล้เต็มก็ทำให้ต้องหันไปใช้บริการเพิ่มด้วยการกู้บัตร อื่นเพิ่มขึ้นเพื่อเอามาโปะบัตรที่ใกล้เต็มวงเงิน เป็นการสร้างหนี้ทวีคูณขึ้นไปแบบนี้เรื่อยๆ จนไม่สามารถกู้เงินผ่านบัตรจากธนาคารหรือจากสถาบันการเงินได้ แล้ว ทำให้จำต้องหันหน้าไปพึ่งเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูง
**เป็นหนี้บัตรครบหันซบหนี้เถื่อน
นิรมล อัศวมณี ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความน่ากลัวของหนี้นอกระบบว่า มีผู้ที่เป็นหนี้เป็นจำนวนมากที่เป็นหนี้ทั้งธนาคารและ หนี้ของสถาบันการเงินต่างๆ ที่รู้จักกันในนามของ “นอนแบงก์ (NON-BANK)” และได้หมุนเงินไปมาระหว่างบัตรจนเงินตึงมือและไม่มีทางออก จนจำต้องหันหน้าเข้า สู่วงจรอุบาทว์ของหนี้นอกระบบที่ติดโฆษณาชวนเชื่อตามเสาไฟฟ้าหรือตู้ โทรศัพท์ ซึ่งเงินกู้เหล่านี้จะมีดอกเบี้ยสูงมาก แต่ในเมื่อผู้บริโภคไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงที่ แสนเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่แพงมหาโหดซึ่งบางแห่งคิดเป็นรายวัน! สัญญาที่ไม่เป็นธรรม การตุกติกลักไก่เพื่อเอาเปรียบในทุกประตูที่ทำได้ แถมการติดตามทวงหนี้ที่บางเจ้าเอากันถึงขนาดข่มขู่หรือทำร้ายกัน จนเลือดตกยางออก
“จริงๆ แล้วพวกหนี้นอกระบบเหล่านี้อยากจะประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันออกปราบปรามจับมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะเป็นธุรกิจที่อาศัยความเดือดร้อนของผู้บริโภคหากำไรเกินควร เข้ากระเป๋าตนเอง”
ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทยยังแนะนำต่ออีกด้วยว่า หากเลือกได้ไม่ควรไปใช้บริการของหนี้นอกระบบเหล่านี้ แต่หากเลือกไม่ได้ สิ่งที่ควรทำก็คือต้องอ่านเอกสารสัญญาให้ถี่ถ้วนไม่ว่าเอกสารนั้น จะมีความยาวหลายหน้ากระดาษก็ตาม
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การหลอกล่อให้ลงชื่อในกระดาษเปล่า ซึ่งผู้บริโภคไม่ควรหลงเชื่อลงชื่อไปอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หรือแม้จะเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากเกิดปัญหาและความยุ่งยากขึ้น เมื่อมีการลงลายเซ็นที่ยืนยันได้ว่าเป็นของจริง ศาลจะเชื่อตามหลักฐานว่าเป็นความยินยอมจากเจ้าตัวเองและทำให้ เสียเปรียบทางกฎหมาย
**นิติกรกรมบังคับคดีเผย ยุคนี้ถือว่ายืดหยุ่น
ทร ชาวพิจิตร นิติกรจากกรมบังคับคดี บอกว่า ปัจจุบันมีความอะลุ่มอล่วยในการบังคับยึดทรัพย์ของลูกหนี้มากขึ้นกว่า เมื่อก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของการอายัดเงินเดือนที่ไม่ว่าจะติดหนี้มากแค่ไหน ก็จะมีอำนาจบังคับอายัดเงินเดือนใช้หนี้ได้เพียง30%ของเงินเดือน แถมหากลูกหนี้มีภาระมาก เช่นมีบุตรหลายคน ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ก็จะมีการพิจารณาลดหย่อนการอายัดได้อีกด้วย
“ก่อนหน้าหนี้การอายัดทรัพย์สินถือว่าค่อนข้างโหด เวลายึดนี่ยึดกันชนิดหมดตัวเหลือกันแต่บ้านเปล่าๆ แต่สมัยนี้ทางกรมบังคับคดีมีนโยบายดูแลลูกหนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตายึดอย่างเดียว แต่จะดูแลให้ลูกหนี้พออยู่ได้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถมีสินทรัพย์และทุนทรัพย์พอที่จะเป็นทุนรอน ในการลืมตาอ้าปาก หาเงินมาใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ได้
โดยเฉพาะในส่วนของเงินเดือนที่ก่อนหน้านี้ยึดกันแทบหมดตัว แต่เดี๋ยวนี้กรมบังคับคดีจะสามารถอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ เพื่อคืนแก่เจ้าหนี้ได้มากที่สุดเพียง30%ของเงินเดือนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกหนี้และครอบครัวสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และหากลูกหนี้มีภาระต้องรับผิดชอบ เช่น มีลูกเยอะ มีพ่อแม่ที่แก่แล้วต้องดูแล อย่างนี้ทางกรมฯ ก็จะมีการพิจารณาลดหย่อนเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนลงให้อีกด้วย”
นิติกรจากกรมบังคับคดีกล่าวต่อไปอีกว่า อีกหนึ่งปัญหาที่ลูกหนี้ต้องประสบก็คือการที่เจ้าหนี้หรือผู้ รับทวงหนี้ปลอมแปลงเอกสารหนังสือของกรมบังคับคดีเพื่อบังคับอายัดเงินเดือน หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งในส่วนนี้อยากแนะนำว่าหากลูกหนี้พบกรณีแบบนี้สามารถ แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาผิดได้ทันที
** นักจิตฯแนะ “ยิ้มรับหนี้”
สำหรับบรรยากาศในวันเปิดตัวชมรมฯ แม้จะเลือกเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันเปิดตัว ก็ยังคงมีประชาชนผู้มีหนี้เป็นจำนวนกว่าร้อยคน เดินทางไปร่วมงานและได้ซักถามปัญหาต่างๆ ที่พบเจอจากการมีหนี้สิน และมีไม่น้อยที่เกิดความเครียดจากการเป็นหนี้
สุพรรณี ภู่กำชัย นักวิชาการสาธารณสุขด้านจิตวิทยา กรมสุขภาพจิต ได้แนะนำว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการตั้งสติและยอมรับกับสภาพความเป็น จริงที่เกิดขึ้น แต่ต้องพยายามจัดลำดับความคิดให้ดี อย่าสับสนหรือท้อแท้ และต้องมีทัศนคติเชิงบวกเพื่อเป็นการให้กำลังใจตนเอง
“ภาวะไม่มีสตางค์เป็นเรื่องปกติ แต่ภาวะไม่มีสตินั้นเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาของคนเราไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน อย่างแรกที่ต้องทำคือการจัดระบบความคิดและการจัดลำดับความคิด โดยส่วนตัวเห็นด้วยและรู้สึกดีกับการก่อตั้งชมรมฯ นี้ เพราะบางครั้งการเป็นหนี้ที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีทางออกหรือไม่ มีทางเดินจนเกิดความท้อแท้นั้น ทางแก้อาจจะเป็นเพียงเส้นผมที่บังภูเขา แต่ตอนที่ชีวิตวิกฤต เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้ามีเพื่อน มีกัลยาณมิตรที่ดี มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็จะช่วยให้เรารู้ว่าไม่ได้มีเราคนเดียวที่กำลังแย่ แต่มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังต่อสู้กับปัญหา ทำให้เราเกิดกำลังใจ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่องทาง ทางออกในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นประโยชน์มาก” สุพรรณีกล่าว
**ปธ.ชมรมฯยันไม่ได้หาช่องช่วยหนีหนี้
และแม้จะมีกระแสโดยอ้อมจากหลายๆ คนที่ไม่ได้เป็นหนี้ มองชมรมฯด้วยเชิงลบ และกระแสโดยตรงจากบรรดาเจ้าหนี้ที่หลายรายถึงกับยกหู โทรศัพท์มาด่าทอว่าชมรมฯดังกล่าวเปิดขึ้นเพื่อช่วยให้คนสร้างหนี้ทั้ง หลายหาช่องหนีหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้
ในส่วนนี้ สาโรจน์ในฐานะผู้ริเริ่มแนวคิด และประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลได้ชี้แจงเอาไว้ อย่างชัดเจนว่า ชมรมฯ ที่ตั้งขึ้นนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คนเป็นหนี้ และไม่ใช่ช่วยเหลือให้คำปรึกษาให้คนมีหนี้หนีหนี้แต่ประการใด หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนหัวอกเดียวกัน ที่มีปัญหาหนี้สินกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีปัญหา และยังขาดความรู้ในแง่กฎหมาย ซึ่งทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้
“ตั้งแต่เราเริ่มรวมตัวในอินเทอร์ เน็ตก็ถูกโจมตีจากทั้งประชาชนทั่วไปที่ไม่มีหนี้ ที่มองเราว่าพวกเราเป็นพวกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ใช้เงินเกินตัวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินแล้วไม่มีปัญญาใช้ อันนี้ผมก็ยอมรับคนที่เป็นหนี้ด้วยการฟุ้งเฟ้อก็มี แต่เราถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะเป็นสิทธิของเขาที่จะ มีจุดประสงค์ของการนำเงินกู้ไปทำอะไร แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นหนี้เป็นสินเพราะความจำเป็นบังคับ ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้ประสบปัญญาหลักๆ 2 ประการคือการขาดความรู้ด้านกฎหมายหนี้สิน ทำให้เจ้าหนี้เอาเปรียบ พยายามเรียกเก็บหนี้จนเขาไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ คือมีเงินเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้หมด ทั้งที่กรมบังคับคดีก็มีกฎว่าเจ้าหน้าที่แจ้งอายัดเงินเดือนได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่บางคนไม่รู้ ในส่วนนี้ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องจ่ายเจ้าหนี้แทบเต็มจำ นวนเงินเดือนจนตนเองไม่มีเงินใช้”
“ที่เราพยายามจะทำก็คือให้ คำปรึกษา หาช่องทางให้คนเหล่านี้มีที่ยืนหยุดพัก และมีแรงมีกำลังพอจะหาเงินมาใช้หนี้ได้ใหม่ ให้ชีวิตลืมตาอ้าปากได้ แต่เจ้าหนี้ก็โทรมาด่าเรานะ หาว่าเราหาช่องให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ได้น้อยลง ทำให้รายได้ของเขาแต่ละเดือนลดลงด้วยแต่ที่ยืนยันอย่างที่สุดคือ ทุกคำแนะนำของเราจะเป็นการแนะนำให้หาทางออกแบบถูกกฎหมายทั้งนั้น ครับ” สาโรจน์ยืนยันทิ้งท้าย
########################
เรื่อง...เจิมใจ แย้มผกา
ผู้จัดการรายวัน
อภินิหารจตุคามรามเทพ
อภินิหารจต |
ระวังแก๊งลักเด็กช่วงปิดเทอม ล่าสุดออกอาละวาด ที่สุพรรณบุรี
2 เม.ย. 50 - 16:45
นพ।พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าววันนี้ (2เม.ย.) ถึงปัญหาเด็กหายโดยแก๊งลักเด็ก เพื่อนำไปค้ามนุษย์และขายแรงงานว่า เป็นปัญหาสำคัญที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี แต่มีจริง และไม่มีแนวโน้มหมดไป จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยอาศัยความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการติดตามคนหายกลับมา โดยได้หารือเบื้องต้นกับตำรวจท้องที่ ว่าจะต้องปรับให้มีความรวดเร็วและประสานกับเครือข่ายสังคม เช่น ถ้ามีกรณีเด็กหาย จะประสานศูนย์ประชาบดีของ พม.อย่างไร และต้องมีประกาศเด็กหาย โดยติดรูปที่ตามโรงพัก และสื่อต่าง ๆ ทั้งนี้ ในวันที่ 9 เมษายนนี้ พม. จะจัดประชุมปัญหาแก๊งลักเด็ก เพื่อจุดประกายให้สังคมตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา พร้อมทั้งหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ตั้งแต่ปี 2547 มีเด็กสูญหายจำนวน 755 ราย เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีมากที่สุด ช่วงเวลาเกิดขึ้นมากในช่วงปิดเทอม ซึ่งเฉพาะปี 2549 มีเด็กสูญหายไป 82 ราย และในช่วงปิดเทอมตั้งแต่ตุลาคม 2549-มีนาคม 2550 เด็กหายไปแล้ว 14 ราย ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันนี้ ผู้ปกครองนักเรียน อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี นำเด็กนักเรียนหญิง จำนวน 7 คน เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนตำรวจภูธร อำเภอศรีประจันต์ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา ขณะเด็กนักเรียนทั้ง 7 คน เดินทางไปโรงเรียน วัดวังพลับใต้ ตำบลมดแดง อำเภอศีรประจันต์ มีรถตู้สีขาวคาดดำไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ด้านหน้ารถเขียนคำว่า รถรับส่งนักเรียน พยายามชักชวนให้ขึ้นรถ แต่เด็กทั้งหมดกลัวว่าจะเป็นรถตู้จับเด็กจึงวิ่งหนีมาเล่าให้ผู้ปกครองฟัง เมื่อแจ้งไปยังหมายเลข 191 เพื่อให้ตำรวจตรวจสอบรถตู้คันดังกล่าว ได้รับคำตอบว่าจะให้ทำอย่างไร เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ยังไม่รับแจ้งความเนื่องจากต้องตรวจสอบรายละเอียด เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากเด็กทั้ง 7 คนให้การตรงกัน ขณะที่ทางโรงเรียนได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองระวังขบวนการลักเด็กช่วงปิดภาคเรียน
ไทยรัฐ
ทำไมคนที่เรารักมากที่สุด.. เรากลับเกรงใจน้อยที่สุด
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเป็นกันเหมือนกัน เรายอมอ่อนน้อมถ่อมตน พูดเพราะ
เข้าใจอะไรง่ายๆ กับ "คนอื่น" แต่กับคนที่เรารัก..แน่นอน..
ว่าเราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด
แต่บางครั้ง..เราก็เผลอเมินเฉยกับอารมณ์ของเขา
โดยเอาอารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เราเกรงใจคนแปลกหน้า..
ที่เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเราเลย
แต่กับคนที่เขาแคร์เราและเราแคร์เขามากๆ ..
บางครั้งเราก็ทำอะไรโดยไม่เกรงใจเขา
ฉันไม่ได้พูดเฉพาะกับคนที่เป็นแฟนกันเท่านั้นนะ..
ยังรวมถึงพ่อแม่เราด้วย .........
เราทำดี..พูดดี..กับใครได้หลายคน.. แต่กับคนที่เราเรียกว่า
"คนกันเอง" เรากลับไม่ค่อยได้ทำอะไรให้เขาปลื้มใจ..
หรือแคร์อารมณ์เขาเลย เหมือนอย่างบางคนระยะจีบกัน..
เอาอกเอาใจสารพัด พอเป็นแฟนกันแล้ว..
ฝ่ายหญิงกลับรู้สึกว่าฝ่ายชาย "เอาใจ" น้อยลง แต่ "เอาแต่ใจ"
ตัวเองมากขึ้น คำพูดหวานๆ บางคำ..ลาตายจากไป แม้เขาจะพูดว่า..
อยู่กับเราเขาเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เพราะไว้ใจเราที่สุด
........... แต่ความรัก.. นอกจากจะเป็นการถ่ายเท
ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว ก็น่าจะมีการถ่ายเท
ความอ่อนโยน..ความเอาใจใส่.. และดูแลซึ่งกันและกันพ่วงไปด้วย
.......... ฉันอยากให้คนที่รักกัน.. มองอีกฝ่ายว่าเป็น
"คนพิเศษ" เพราะน้อยคนนักที่จะเกิดมาให้เรารักได้อย่างนี้
สิ่งที่ปฏิบัติต่อกัน.. ก็ควรจะมีความพิเศษ..เหนือคนอื่น
พิเศษทั้งการให้และการรับ..
เป็นความพิเศษที่ทำให้หัวใจทั้งสองฝ่ายอิ่มเอม แล้วลองตอบคำถามซิว่า..
ระหว่างคนแปลกหน้ากับคนพิเศษ... เรามองหาใคร?
Good furniture
Good furniture |
เด็ก ป.5 ถูกรถตู้ไล่จับ โทรแจ้ง 191 ถูกย้อนจะให้ทำไง?
สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ ชาวบ้าน ต.มดแดง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ได้ร่ำลือกันว่า มีเด็กนักเรียน โรงเรียน วัดวังพลับใต้ หมู่ 7 ต.มดแดง เกือบตกเป็นเหยื่อแก๊งรถตู้ลักเด็ก แต่สามารถหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ผู้สื่อข่าวจึงรุดไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
จากการสอบถาม ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) นักเรียน ชั้น ป. 5 ผู้ประสบเหตุ เล่าให้ฟังว่า ช่วงเช้าวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างที่ตนขี่จักรยานกลับจากฟังผลสอบที่โรงเรียน ได้มีรถตู้ สีขาว จำตัวอักษรทะเบียนรถได้เพียง "พม" วิ่งมาจอดเทียบ จากนั้นได้มีชาย 3 คน ลงมาถามตนว่า "ไปกับลุงไหม" ก่อนฉุดกระชากลากขึ้นรถ โชคดีเพื่อนนักเรียนเห็นเหตุการณ์จึงช่วยกันร้องตะโกนจนชาวบ้านวิ่งออกมาช่วยได้ทัน เผยเห็นเด็กในรถ ประมาณ 4-5 คน ถูกมัดมือมัดเท้าและปิดปากด้วยผ้าเทปสีดำ พยายามดิ้นรนหนีออกมา
ขณะที่นางบุญยัง เขียวอ่อน มารดาของหนึ่งในนักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุลูกสาวของตนได้วิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่า มีรถตู้ลักพาตัวเด็ก ตนเลยรีบแจ้ง 191 ปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่รับสาย แต่กลับมาถามตนว่า "แล้วจะให้ทำอย่างไร" ตนเลยกดโทรศัพท์ ทิ้งเพราะไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก
ด้าน พล.ต.ต.ปราโมทย์ ไทรหอมหวล ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ตนได้แจ้งให้จัดกำลังสายตรวจออกตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มงวด ส่วนกรณีที่ชาวบ้านบางส่วนร้องเรียนมาว่า ได้โทรศัพท์แจ้งไปยัง 191 เพื่อขอความช่วยเหลือแต่ไม่ได้รับความร่วมมือนั้น ต้องขอตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน หากพบว่าเจ้าหน้าที่ละเลยจะมีการพิจารณาลงโทษต่อไปกระปุก ข่าว!
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2550
“หญิงหน่อย” นำทีมบริจาคเลือด! สบช่อง-เช็กยอดพลพรรค ทรท.
วันนี้ (1 เม.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พร้อมด้วย อดีต ส.ส.กทม. เช่น นางสาวศันศนีย์ นาคพงศ์ น.ส.ศุภมาศ อิสรภักดี นายวิชาญ มีนชัยนันท์ นายเอกพจน์ วงศ์อาระยะ และน.ต.ศิธา ทิวารี ฯลฯ รวมทั้ง ส.ก.และ ส.ข.ของพรรคไทยรักไทยประมาณ 100 คน เดินทางมาบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
คุณหญิงสุดารัตน์ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.ว่า กิจกรรมนี้เป็นแนวคิดของอดีต ส.ส.ในพรรคว่าควรบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาส 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้ทำกิจกรรมทางการเมือง แม้จะมีการพบปะกันบ้าง ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีกำหนดวันเลือกตั้งประมาณเดือนธันวาคมไว้แล้วนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะทุกอย่างจะได้กลับเข้าสู่ระบบ แต่ถึงอย่างไรพวกตนก็ต้องรอผลการพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้พวกตนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง คมช. และนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรค อย่างเคร่งครัด
เมื่อถามว่า การยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15, 27 หลังการลงประชามติมีความเห็นอย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ทุกคนล้วนอยากเห็นประเทศชาติเกิดความสงบ และ คมช.ไม่ควรคิดว่าพรรคการเมือสร้างความวุ่นวาย โดยที่น่าจะมีการหารือในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคิดว่าทุกพรรคพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบและสมานฉันท์ เเละเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง เรื่องนี้อยู่ที่ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เมื่อถามว่ากลุ่ม กทม.ยังสังกัดพรรคไทยรักไทยต่อไปหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า วันนี้ยังไม่เห็นมีใครลาออกแต่ก็ยังไม่สามารถทำงานทางการเมืองได้ มีเพียงการทำงานเพื่อสังคม โดยทุกคนยังทำตามคำสั่ง คมช.โดยไม่ได้เคลื่อนไหว
เมื่อถามถึงท่อน้ำเลี้ยงจากพรรคที่สนับสนุนกลุ่มต่างๆ ให้ต่อต้าน คมช. และรัฐบาล คุณหญิงสุดารัตน์ ตอบว่า พวกตนยังให้ความร่วมมือต่อ คมช. ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้ประเทศ เพราะปีนี้เป็นปีมหามงคลเชื่อว่าทุกพรรคไม่ได้คิดเเตกต่างไปจากตน ทุกคนคงรอเวทีการเลือกตั้งดีกว่าที่จะมาสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง
มีรายงานข่าวจากอดีต ส.ส.กทม.แจ้งว่า การนัดอดีต ส.ส., ส.ก. และส.ข.กทม.มาบริจาคเลือดในครั้งนี้เป็นความคิดของคุณหญิงสุดารัตน์ที่ต้องการเช็กยอดจำนวนอดีต ส.ส., ส.ก.และส.ข.ของพรรรคเพื่อแสดงศักยภาพ และต้องการตรวจสอบว่ายังมีความเหนียวแน่นและยังอยู่ในการดูแลของคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่ ทั้งนี้ หากใครไม่มาคุณหญิงสุดารัตน์ขู่ว่าจะไม่ให้การสนับสนุนทุกด้าน รวมทั้งไม่ส่งลงเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย
เรดแฮทเปิดไซต์ท่าค้าโอเพ่นซอร์ส
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายเชน โอเวนบี ผู้จัดการภูมิภาคอาเซียน เรด แฮท เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ภายในปีนี้ บริษัทจะพร้อมเปิดให้บริการเวบไซต์ท่า "เรดแฮท เอ็กซ์เชนจ์" (RedHat Exchange) ที่เป็นตลาดกลางศูนย์รวมโอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ของโลก ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการของเรดแฮท ลินิกซ์ โดยจะช่วยสร้างความแพร่หลายการใช้โอเพ่นซอร์สระดับแอพพลิเคชั่น
รูปแบบที่จะเกิดขึ้นนี้ บริษัทให้ลูกค้าที่สนใจใช้งานซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีอยู่ในเวบดาวน์โหลดโปรแกรมไปใช้งาน และเรดแฮทก็จะให้บริการหลังการขายกับลูกค้า และในเวบจะมีซอฟต์แวร์หลากหลายค่ายที่สร้างทางเลือกให้ลูกค้า และมีแอพพลิเคชั่นด้านบริหารทรัพยากรระบบ (อีอาร์พี) และการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (ซีอาร์เอ็ม) และอื่นๆ ซึ่งเปิดกว้างให้โอเพ่นซอร์สทั่วโลก รวมถึงไทย โดยเรดแฮทจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากซอฟต์แวร์ในเวบ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น หรือไอดีซี คาดการณ์ว่า โอกาสของลินิกซ์ในวงจรอุตสาหกรรม ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการรวมในปี 2553 จะสูงถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 2548 ที่มีมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ "เอ็นเตอร์ไพร้ซ ลินิกซ์ 5.0" ที่มีคุณสมบัติมากขึ้นในราคาบริการเท่าเวอร์ชั่น 4.0 และมีจุดเด่นสนับสนุนการทำงานระบบแบบเสมือน (เวอร์ช่วลไลเซชั่น) ช่วยลดค่าใช้จ่ายจำนวนไลเซ่นระบบปฏิบัติการได้ และมีฟีเจอร์ด้านการบริหารระบบ ช่วยลดค่าใช้จ่ายการลงทุนระบบ และบริหารงานระบบ
ทั้งนี้ ได้แบ่งโซลูชั่นออกเป็น 3 ส่วนหลักเป็นครั้งแรก ได้แก่ งานดาต้าเบส งานประมวลผลระดับสูง (ไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ คอมพิวติ้ง) และดาต้า เซ็นเตอร์ รวมถึงเวอร์ชั่น แอดวานซ์ แพลตฟอร์ม รองรับการทำงานเครื่องแม่ข่ายที่ทำงานระบบสำคัญอย่างยิ่งยวด (มิชชั่น คลิติคัล)
เขา มองว่า ช่วงเวลานี้ จะเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากไมโครซอฟท์เปิดตัววินโดว์ส วิสต้า ที่มีเงื่อนไขการใช้ไลเซ่นที่เข้มงวด ทำให้ลูกค้าองค์กรต้องตัดสินใจอัพเกรดไปสู่การใช้งานเวอร์ชั่นใหม่ หรือจะหาทางเลือกใช้งานระบบใหม่อย่างลินิกซ์ เรดแฮท
"การเติบโตธุรกิจของบริษัทในไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองปลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้โครงการชะลอตัวลง แต่ก็ยังตั้งงบในโครงการใหม่ที่มีมูลค่าไม่มากนัก" เขา กล่าว
นางสาวดาราวรรณ ดลรัตน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัทดับเบิลยูทีซี จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเรดแฮทในไทยกว่า 2 ปี กล่าวว่า บริษัทจะเร่งสร้างตัวแทนค้าปลีกที่มุ่งทำตลาดจริงจัง หรือแอคทีฟ รีเซลเลอร์ โดยปัจจุบันมีเพียง 10 รายจากทั้งหมด 50 ราย ขณะที่ลูกค้าหลักจะอยู่ในกลุ่มสื่อสาร การเงินธนาคารและตลาดหลักทรัพย์
นายโอเวนบี กล่าวเสริมว่า บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ตัดสินใจใช้บริการซอฟต์แวร์เอ็นเตอร์ไพร้ซ ลินิกซ์ ของเรดแฮทในเครื่องแม่ข่ายที่รองระบบบริการพรีเพด 200 เครื่อง มูลค่าโครงการทั้งหมดรวม 32.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรุงเทพไอที
“ป๋าเหนาะ” อโหสิกรรม “แม้ว” หนุน “สุรยุทธ์” นั่งนายกฯ ต่อ
เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช
“หัวหน้าพรรคประชาราช” อวยพรวันเกิด อยากได้คนดีมาปกครองประเทศ ยังให้กำลังใจ “สุรยุทธ์” นั่งเก้าอี้นายกฯ บริหารบ้านเมืองต่อไป พร้อมอโหสิกรรม “แม้ว” ชี้ชัดกลุ่มผู้ชุมนุมมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง เชื่อรัฐบาล-คมช.รู้ดีใครอยู่เบื้องหลัง
วันนี้ (1 เม.ย.) ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้เปิดบ้านพักให้นักการเมืองและประชาชนเข้าอวยพรวันเกิดครบรอบ 73 ปี โดยนายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่อยากได้ในวันเกิดวันนี้ คืออยากได้คนดีมาปกครองบริหารประเทศ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ตนเอง ส่วนทิศทางของพรรคประชาราชนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน
โดยนายเสนาะได้มองในการทำงานของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าอยากให้กำลังใจแก่นายกรัฐมนตรี และยังไม่ควรปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือการทำงานของข้าราชการบางกระทรวงที่ไม่เคยทำหน้าที่บริหารประเทศมาก่อน
นอกจากนี้ นายเสนาะยังได้ฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนว่า หากใครก็ตามที่ตนเคยทำให้ขุ่นข้องหมองใจก็อยากจะอโหสิให้ เพราะทุกอย่างที่ทำไปเป็นเจตนาดี และในวันเกิดปีนี้นายเสนาะได้มอบพระวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นของขวัญแก่ประชาชนที่เข้าอวยพรวันเกิด
อย่างไรก็ตาม นายเสนาะยังได้กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมประท้วงรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า การรวมกลุ่มทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นม็อบจัดตั้งที่มุ่งหวังประโยชน์ทางการเมือง และทำให้เกิดความแตกแยก
“ขณะที่ฝ่ายหนึ่งพยายามทำให้เกิดความสามัคคี แต่ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดความแตกแยกขยายวงกว้าง ซึ่งภาวะปัจจุบันผมมองว่าทุกคนควรสามัคคีกัน พยายามอย่าให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง” นายเสนาะ กล่าว
เมื่อถามว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นจะเกิดปัญหาการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า ต้องดูว่าการชุมนุมประท้วงมีเหตุผลอย่างไร แต่ม็อบที่เกิดขึ้นเป็นม็อบที่ไม่มีเหตุผล เป็นการรวมตัวเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งมาโดยอามิสสินจ้าง ตนไม่ขอพูดเรื่องท่อน้ำเลี้ยงหรือเงินสนับสนุนจากใคร เพราะเรื่องนี้รัฐบาลและ คมช.ทราบดีว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงอยากเรียกร้องทุกคนสามัคคีกันไว้เพื่อให้ได้รัฐบาลที่สามารถสรรหาคนดีมาปกครอง หลังจากนั้นหากมีปัญหาอะไรค่อยมาจับเข่าคุยกัน ตนมองว่ารัฐบาลที่มาจากประชาชนจะทำอะไรได้ดีกว่าและสง่างามกว่า
ผู้จัดการออนไลน์
แผนชั่วชนฟ้าล่าชื่อปลด “ป๋า” ถล่ม “ปธ.คมช.” พิลึกไม่แตะ “สุรยุทธ์”
เผยพฤติกรรมสุดชั่วอำนาจเก่าเปิด “ยุทธการชนฟ้า” เต็มพิกัด ส่งลิ่วล้อป่วนกันเต็มที่ทั้งผ่านเว็บไซต์-ใบปลิว จาบจ้วงประธานองคมนตรีกระทบชิ่งสถาบัน ล่าสุดเหิมเกริมหนักข้อล่าชื่อให้ครบแสนชื่อถวายฎีกาถอดออกจากตำแหน่ง ดีเดย์วันที่ 5 เมษายนนี้ ตรวจพบ “จตุพร พรหมพันธุ์” ร่วมลงชื่อ ขณะเดียวกัน ถล่ม ปธ.คมช.ยับ แต่พิลึกไม่แตะ “สุรยุทธ์”
ในที่สุด “ขบวนการชนฟ้า” ก็ได้เปิดเผยโฉมหน้าออกมาให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกลุ่มอำนาจเก่าได้ใช้วิธีการสื่อสารยุคใหม่มุ่งร้ายโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะจากการตรวจสอบใน www.tmctoday.com ได้เปิดลิงก์หน้าไปที่tmctoday.com/vote/vote5450.php เพื่อให้มีการล่ารายชื่อถอดถอน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยให้มีการลงชื่อประชาชนให้ครบ 1 แสนชื่อ เพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ ปลด พล.อ.เปรมให้พ้นจากตำแหน่งองคมนตรี
ทั้งนี้ตามกำหนดการของคนกลุ่มนี้จะเสนอรายชื่อที่รวบรวมได้ดังกล่าวยื่นต่อสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 5 เมษายน 2550
อย่างไรก็ดี ที่น่าสนใจก็คือ จนถึงวันนี้ (31 มี.ค.เวลาประมาณ 11.30 น.) มีผู้ร่วมลงชื่อถวายฎีกาจำนวน 2,468 คน และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ปรากฏว่ามี นายจตุพร พรหมพันธุ์ (จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย ซึ่งปัจจุบันเคลื่อนไหวในนามกลุ่มพีทีวีร่วมกับ นายวีระ มุกสิกพงศ์ อดีตผู้บริหารพรรคไทยรักไทย) ลงชื่อเป็นลำดับที่ 2,467 โดยลงชื่อเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมา
แต่ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 12.15 น.ได้มีการลบรายชื่อของนายจตุพรออกไป ทำให้ไม่มีรายชื่อลำดับที่ 2,467 ซึ่งเคยอยู่หลัง นายอายุทธ ดิษฐ์โชติ (เขียนเป็นภาษาอังกฤษ) มีแค่ชื่อลำดับที่ 2,466 และ 2,468 เท่านั้น
โดยเมื่อราวกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายจตุพร พร้อมด้วย นายจักรภพ เพ็ญแข และอีกหลายคนได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งมีภาพปรากฏทางสื่อ และบุคคลในภาพก็ออกมายอมรับ แต่อ้างว่าไปยื่นใบลาออกจากพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ไม่ได้ไปรับเงินมาเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นก่อนหน้านี้ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้กล่าวจาบจ้วง โดยกล่าวคำพูดเรื่อง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่งหลายฝ่ายเข้าใจว่าเป็นการพาดพิงเบื้องสูง อย่างไรก็ตาม นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็บอกว่าจากการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับการยืนยันว่าหมายถึง พล.อ.เปรม ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าอยู่หัว
ส่วน นายจตุพร นั้นมีท่าทีชัดเจนมาตลอดในเรื่องการกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม โดยย้ำว่า ประธานองคมนตรีสามารถวิจารณ์ได้ ขณะเดียวกัน นอกจากนายจตุพรแล้วยังมี นายวีระ มุกสิกพงศ์ ด้วยที่มีท่าทีจาบจ้วง พล.อ.เปรม ซึ่งทำให้คนสงขลาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงและรวมตัวกันประท้วงกันเป็นจำนวนมาก
ที่น่าสังเกตก็คือ ในเว็บไซต์ “ทีเอ็มซี ทูเดย์” ดังกล่าว ยังได้เผยแพร่กิจกรรมและกำหนดการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เช่น กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มพิราบขาว เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ต่างเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกับกลุ่มม็อบพีทีวี และสมาพันธ์ประชาธิปไตยที่นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ และ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และนางประทีป อึ้งทรงธรรม
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์แห่งนี้ยังได้กล่าวโจมตี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. รวมทั้งโจมตีบุคคลที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณ เช่น นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง. และกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นายแก้วสรร อติโพธิ นายสัก กอแสงเรือง นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเว็บไซต์ดังกล่าวไม่มีการกล่าวโจมตีหรือตำหนิการทำงานของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเลย ซึ่งถือว่าผิดปกติอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เคยตั้งข้อสังเกตในรายการยามเฝ้าแผ่นดินหลายครั้งสงสัยว่า พล.อ.สุรยุทธ์ อาจมีส่วนสมรู้ร่วมคิดหรือมีการรับเงื่อนไขบางอย่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยกตัวอย่างกรณีช่วยเหลือพนักงานไอทีวี การไม่แสดงท่าทีไม่ให้ความร่วมมือกับ คตส.ในการตรวจสอบการทุจริตบุคคลในรัฐบาลที่แล้ว เป็นต้น
ผู้จัดการออนไลน์
ถอดรหัส “ม็อบชายแดนใต้” ถอดบทเรียนสงครามมวลชน
ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ ม.สงขลานครินทร์ (IDSW) โดย ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มอ.ปัตตานี รายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “ม็อบ” ที่ชายแดนใต้เพื่อถอดให้เห็นองค์ประกอบของการชุมนุมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ระยะหลัง ทั้งข้อเรียกร้อง จำนวนคน บทบาทของผู้หญิงและเด็ก และพื้นที่เกิดเหตุ ฯลฯ พร้อมวิเคราะห์บทเรียนของทางการต่อการรับมือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวจากกรณีตากใบ – ตันหยงลิมอ – กูจิงลือปะ ที่นำมาสู่การปรับกลยุทธในการเจรจาต่อรอง ซึ่งสะท้อนทั้งความสำเร็จของแนวทางสันติวิธี ทว่าในทางกลับกันก็ยังคงฉายภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมที่มีฐานะเป็นหลุมดำอยู่
อ่านต่อ